ร่มไม้ชายศาล
"ชนของหลวงพัก"
เวลาขับรถไปตามถนนหลวงแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ชนิดที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ต้องดูเลขที่ออกว่า
หัวหรือก้อย
สมมุติว่ารถยนต์เบรคไม่อยู่ เสียหลัก หรือเถลือกไถล นอกการบังคับควบคุม คนที่อยู่ในรถและ
นอกรถซึ่งเห็นเหตุการณ์ ต้องลุ้นต้องเล็งว่าจะเป็นยังไง ไปสิ้นฤทธิ์แบบไหน ที่ไหน
ที่ร้ายแรงขนหัวลุก คือ มีคนเดินถนนเป็นเป้า เมื่อคนไม่ใช่วัวควายช้างม้าหนังหนา เป็นสัตว์โลก
ที่มีความรู้ความสามารถล้นเหลือกว่าสัตว์อื่นก็จริง แต่สังขารช่างอ่อนแอเสียนี่กระไร ถ้ารถของ
เรามี "ร่างของมนุษย์" เป็นที่หมาย คุกย่อมถามหารำไร สตางค์เตรียมโบยบินพรั่งพรูออกจาก
กระเป๋า เพราะคนไม่ตาย ก็ร่อแร่
ถ้าไปโดนรถด้วยกัน แต่เป็นรถมอเตอร์ไซค์ ก็ขนหัวลุกอีกนั่นแหละ ในเมื่อคนขี่มอเตอร์ไซค์ คือ
จุดอ่อน ตายเอาง่ายๆ คนขับรถยนต์ส่วนใหญ่มักอาศัยหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง เผ่นไปสงบสติ
อารมณ์ ฟังข่าวซะก่อนว่าตายไหมตาย
หากโดนรถด้วยกัน แต่เป็นรถยนต์ ตรงนี้ถือว่าค่อยยังชั่วหน่อย เพราะมี "เหล็ก" กั้นกลาง อย่าง
น้อยพอมีลุ้นว่าคนในรถเจ็บไหม ตายไหม หากจวกกันไม่รุนแรง คนในรถก็ไม่กระไรนัก จวกกัน
หนัก ให้มูลนิธิมางัดมาดึงออก บางทียังรอด
ที่เราพากันร้อง "เฮ้อ" แบบเบาใจ คิดว่าคนในรถไม่เป็นไร ถ้ารถไปเสย เสาริมทาง หลักกันโค้ง
การ์ดเหล็กข้างถนน เสาสัญญาณไฟ เสาไฟฟ้า ราวสะพานจริงอยู่ คนในรถอาจไม่บาดเจ็บ
เสียหายเฉพาะรถและวัตถุที่ถูกรถชน แต่ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียเลยอย่างที่บางคนเข้าใจ เนื่องจาก
ไม่มีประสบการณ์มาก่อน
อันที่จริงมันมีผล เพราะกรมทางหลวง หรือหน่วยงานที่ดูแลรักษาถนนเส้นนั้น หรือดูแลรักษาข้าว
ของนั้นๆ อาทิ เช่น องค์การโทรศัพท์ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าภูมิภาค กทม. หรือเทศบาล
เขาเดือดร้อน ต้องหาทางไล่บี้เรียกค่าเสียหายจากคนก่อเหตุ ทำให้ของหลวงเสียหายจนได้
ถ้าพวกนกรู้ พอชนของหลวงเสียหายปั๊บ หากรถราไม่เป็นไร ไม่มีคนเจ็บ คนตาย ตำรวจไม่มาก้มๆ
เงยๆ จดโน่น วัดนี่ รถยังเดินหน้าต่อไปได้
ประดานี้ไม่อยู่หรอกครับ เผ่นแน่บทันที เพื่อเอาตัวรอด ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าวของเสียหาย แน่นอน
คนของหน่วยงานต่างๆ คงตามหา เมื่อจนปัญญาไม่รู้ว่าไอ้หมอไหนทะลึ่งขับรถมาชน ก็ต้องแทง
บัญชีเป็นหนี้สูญ
กรณีที่หน่วยงานรับผิดชอบเขารู้ เขาไม่ปล่อยหรอกครับ แบมือเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ จนครบ
ก็แล้วกัน ไม่จ่าย โดนฟ้องแน่นอน เคยมีคดีทำนองนี้อยู่บ่อยๆ อย่าคิดว่าเล็กน้อยนะเอ้อ
ไปทิ่มเอาเสาไฟข้างถนนไฮเวย์ชนิดสูงๆ มีไฟข้างบนเป็น 10 ดวง เหมือนอย่างถนนในจังหวัด
สุพรรณบุรีที่มีงบประมาณเกินหน้าเกินตาจังหวัดอื่นมาลงได้ไงไม่รู้ พังล้มลงมาทั้งดุ้น ค่าเสียหาย
ต้นละหลายแสนบาท อ่วมอรทัยเชียวนะตัว ถ้าเขาจับได้ไล่ทัน
จำได้เคยทำคดีในระหว่างที่อยู่ในราชการ ฟ้องแทนกรมทางหลวงให้บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
ชดใช้ค่าเสียหายสำหรับเสาไฟข้างถนน แต่เป็นเสาไฟธรรมดา รวมแล้วราวๆ 8-9 หมื่นบาท ซึ่ง
คาราคาซังมานาน เพิ่งมีการฟ้องร้อง บริษัทมาติดต่อในภายหลัง ขอชดใช้
ท่านเชื่อไหมบริษัท "หย่าย" มากขอผ่อนส่งเป็นรายเดือน เดือนละหมื่นอะไรทำนองนี้ ในที่สุดกรม
ทางหลวงโอเค ถือว่าได้ค่าเสียหายแน่นอน จึงหยวน
ถ้าเอ่ยชื่อบริษัทและเจ้าของในตอนนี้ คนทั้งประเทศต้องร้องอื้อฮือ ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ อะไรจะ
"เหนียวหนืด" ขนาดนั้น นี่คือ นิสัยพ่อค้าแม่ค้าขนานแท้เลยล่ะท่าน
เพื่อให้ครบเครื่องเรื่องที่สาธยายมา เรามาดูคดีที่กรมทางหลวงฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นการ
ตบท้าย จะได้เห็นลีลาของทนายพาลูกความที่เป็นจำเลยแห่เสีย 3 ศาล สนุกเขาล่ะ
กรมทางหลวงเป็นโจทก์ ฟ้อง "นายเขี้ยวเพชร" เป็นจำเลย ระบุว่าเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2546
นายเขี้ยวเพชร ขับรถบรรทุกไปชนหลักกันโค้ง และ เสาไฟฟ้าอยู่ริม หรือต่อเนื่องกับทางหลวง
โดยละเมิด จึงคิดค่าหลักกันโค้ง 1 อัน เป็นเงิน 250 บาท ค่าดวงไฟ 1 ชุด 6,910 บาท อุปกรณ์แผง
สวิทช์ และค่าแรงติดตั้ง 1,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 8,160 บาท พร้อมดอกเบี้ย
สมัยนั้นเงินแพง หรือ นายเขี้ยวเพชร แกเขี้ยวสมชื่อไม่ทราบได้ ไม่ยอมชดใช้ ควักเงินจ้างทนาย
ความสู้คดี ทนายไม่ขัดข้อง พาทัวร์ศาลตามถนัด ให้การตัดฟ้องไปประเด็นเดียวว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่
4 มิถุนายน 2546 กรมทางหลวงเพิ่งมาฟ้องร้องวันที่ 19 กันยายน 2527 มันเกิน 1 ปี นับแต่วันเกิด
เรื่อง จึงขาดอายุความ ตามกฎหมายแพ่ง ฯ มาตรา 448 ขอให้ยกฟ้องไปเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่ายที่นำมาโชว์ เห็นว่ายังไม่ขาดอายุความ จึงตัดสิน
ให้ นายเขี้ยวเพชร จ่ายค่าเสียหายทุกบาททุกสตางค์ตามที่กรมทางหลวงเรียกร้อง
คดีมีทุนทรัพย์จิ๊บจ๊อยก็จริง แต่ฝ่ายจำเลยยกข้อกฎหมายอ้างว่าคดีขาดอายุความมาต่อสู้ จึงได้
รับไฟเขียวตามกฎหมาย อุทธรณ์ฎีกาได้สบาย ถึงไหนถึงกัน ทนายจึงสะกิดบั้นท้าย นายเขี้ยวเพชร
ยุให้อุทธรณ์เพื่อเอาชนะ ขณะที่ทนายได้ค่าเหล้าเป็นอย่างน้อย เรื่องจึง "ท่อกแท่ก" ไปสู่ศาล
อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้กรมทางหลวงชนะเช่นเคย
นายเขี้ยวเพชร ไม่เบื่อหน่ายในการค้าความ ไม่กลัวดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย จึงให้ทนายพาแห่
ด้วยการยื่นฎีกา อ้างว่าคดีขาดอายุความแล้วอย่างเคย
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ด้วยความเซ็ง หนอยกะอีแค่เงินไม่ถึงหมื่น นายเขี้ยวเพชร ยังไม่ยอมจ่ายให้
หลวง มันน่าเขกกบาลสักโป๊ก ว่าแล้วก็ชี้ขาดตัดสินออกมาว่า
กรมทางหลวงเป็นนิติบุคคล มีอธิบดีกรมทางหลวงเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนเพียงผู้เดียว การที่
เจ้าหน้าที่ระดับล่างของกรมทางหลวงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น รู้ตัวว่า นายเขี้ยวเพชร ทำเหตุ และต้อง
จ่ายค่าเสียหายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2526 จะไปถือว่าอธิบดีกรมทางหลวง และกรมทางหลวง
ทราบด้วยไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ระดับล่างไม่ใช่ผู้มีอำนาจทำการแทนกรมทางหลวง
ดังนั้นเมื่ออธิบดีกรมทางหลวงทราบเหตุรู้ตัวคนทำเหตุเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม2527 จากบันทึก
รายงานของลูกน้อง กรมทางหลวงนำคดีมาฟ้องวันที่ 19 กันยายน 2527 จึงอยู่ในเวลา 1 ปี นับ
แต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2527 ไม่ขาดอายุความ แน่นอน ข้ออ้างของ นายเขี้ยวเพชร ฟังไม่ขึ้น
ศาลล่างตัดสินถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาต้องพิพากษายืน ไม่ให้ นายเขี้ยวเพชร ฉากหลบได้อีกต่อไป
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า นายเขี้ยวเพชร แกดึงดันสู้คดีตั้ง 3 ศาลไปทำไม ให้เสียค่าดอกเบี้ย
เสียค่าทนายเปล่าๆ
จำไวนะครับ เวลามีเรื่องราวเกี่ยวกับรถราเป็นคดีขึ้นมา อย่าฟังคนยุมากนัก ยุซ้ายยุขวา พาเราเข้า
รกเข้าพง ลงท้ายเราปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่คนเดียว
ครับ มาถึงจุดนี้ อยากให้ประชาชนคนไทย ในฐานะเจ้าของประเทศ จงทำใจให้เป็นกลาง อย่าไป
หลงตามกระแสต่างๆ ขอให้ยึดถือพระเจ้าอยู่หัว ฯ เป็นที่ปกเกล้าปกกระหม่อม ยึดกระบวนการ
ศาลยุติธรรมเป็นหลัก เราต้องปกป้องคุ้มครองสถาบันเบื้องสูงและสถาบันตุลาการไว้ให้มั่น
ชาติบ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัย
ถ้าเฮโลตามเสี่ยงปี่เสียงกลอง ตามแรงยุ เข้าข้างโน้นออกข้างนี้ ชี้ผิดชี้ถูกกันเองตามอำเภอใจ
ไม่มีใครฟังใคร ตั้งป้อมใช้กำลัง ใช้ความป่าเถื่อนเข้าใส่กัน ประเทศชาติจะบรรลัย ตัวเราจะพบกับ
ความวิบัติกันทั้งโขยง
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2340/2533
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/94025