ร่มไม้ชายศาล
คาร์บอมบ์
เป็นที่รู้กันว่า คนเราอยู่ได้ไม่เกิน 100 ปี นี่พูดแบบเข้าข้างตัวเอง แค่ 80-90 ปี ถือว่าเก่งบวกเฮง แต่คนก็ยังฆ่าคนที่นั่นที่นี่ทุกวินาที ไม่หยุดหย่อน น่าแปลกไหมครับ ขณะนี้ประเทศอิรัก กลายเป็นดินแดนมรณะ ชาวอิรักฆ่ากันเองทุกวัน ด้วยเหตุผลทางการเมือง ศาสนาและแย่งชิงอำนาจ ทั้งๆ ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเข้ามาบดขยี้ได้ถอนตัวออกไปแล้ว แต่ความตายจากการเข่นฆ่ากันเองกลับตามมาอย่างหนัก
ปฏิบัติการผลาญชีวิตที่นั่นนิยมใช้ "คาร์บอมบ์" เพื่อสังหารคนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งทำลายอาคารสำนักงานบ้านเรือนไปด้วย เท่าที่ติดตามข่าว ดูเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐหมดหนทางป้องกัน คงปล่อยให้ฆ่าจนกว่าจะเบื่อกระมัง ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาสร้างบาปกรรมอะไรไว้ จึงเป็นแดนมิคสัญญีซะงั้น
รถยนต์ ซึ่งบ้านเรากระดี้กระด้ากับการได้ใช้รถคันแรก แม้บางรายผิดพลาดในการขับขี่ สังเวยชีวิตไปบ้าง ก็ถือว่าน้อยนิด ขณะที่ประเทศอิรัก รถยนต์กลายเป็น "ทูตมรณะ" เขาคงมองดูรถยนต์ด้วยความสยดสยอง ไม่รู้ว่าคันไหนจะระเบิดตูมตามขึ้นมา มันคั่งแค้นอะไรกันนักกันหนา ส่วนใหญ่มือสังหารใช้วิธีฆ่าตัวตายพร้อมรถ อนาถแท้ๆ
ผมเขียนพาดพิงถึงสหรัฐอเมริกาไว้นิดหนึ่ง ในฐานะที่เข้าไปย่ำยีอิรัก จนอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ ก่อนถอนตัวออกไป โดยคนของสหรัฐ ฯ ก็ถูกสังเวยชีวิตไปไม่น้อย ท่านทราบไหมว่า ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า
ลักษณะการใช้คาร์บอมบ์ เกิดที่สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ที่ BATH TOWNSHIP มลรัฐ MICHIGAN โดย แอนดริว เคโฮ อายุ 55 ปี เหรัญญิกคณะกรรมการโรงเรียนประถมศึกษาของเมือง แกมีปัญหาการเงิน ฟาร์มและบ้านเรือนซึ่งติดจำนองกำลังจะถูกยึดและโดนปลดออกจากงาน ด้วยความโกรธแค้นผิดมนุษย์ ไอ้หมอนี่เอาระเบิดไดนาไมท์ไปซุกไว้ที่ฟาร์ม ที่บ้าน ที่โรงเรียน และในรถยนต์ของเขา เช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 1927 (86 ปีมาแล้ว) หลังจากลงมือทุบภรรยาซึ่งนอนป่วยด้วยวัณโรคจนตาย แล้วระเบิดฟาร์ม อาคารบ้านพักรถทแรคเตอร์แหลกเป็นจุล ตามมาด้วยการระเบิดโรงเรียน เมื่อเจ้าหน้าที่รุดมายังที่เกิดเหตุ เคโฮ เข้าไปในรถยนต์ ซึ่งจอดอยู่ใกล้โรงเรียน ระเบิดรถยนต์เป็นการส่งท้าย ทำให้โรงเรียนวินาศเพิ่มขึ้น ยังดีที่วัตถุระเบิดอีก 230 กก. ซุกอยู่ในห้องใต้ดิน อีกปีกหนึ่งของโรงเรียน ต่อสายชนวนไว้แล้ว ไม่ระเบิด ผลคือ เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา 38 คน เคโฮ และผู้ใหญ่ 6 คน รวมเป็น 44 คน ต้องจบชีวิต บาดเจ็บอีก 58 คน ถือเป็นการฆ่าหมู่ในโรงเรียนครั้งร้ายแรงที่สุดของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
น่าแปลก (อีกหน) ครั้นสหรัฐอเมริกาไปโจมตีอิรักสองครั้งสองครา ผลที่ตามมา คือ คาร์บอมบ์ แบบฆ่าตัวตาย ซึ่งเกิดขึ้นที่สหรัฐ ฯ เป็นครั้งแรก ดันติดเชื้อ ไปฮิทที่อิรักกระทั่งบัดนี้ ชาวโลกได้แต่ภาวนาให้ยุติการเข่นฆ่า อยู่กันอย่างสันติสุขเสียที แต่ยังมองไม่เห็นว่า เขาจะหมดยุคเข็ญเมื่อไร
ขณะที่บ้านเราก็แปลกเช่นกัน คนไทยเดี๋ยวนี้บ่มเพาะความขัดแย้ง สุมไฟใส่ฟืนราดน้ำมัน หาเหตุนั่นนี่ จุดชนวนตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เห็นตัวอย่างทนโท่ ทั้ง ลาว เขมร เวียดนาม ฆ่ากันมาหนัก ตายเป็นแสนเป็นล้าน พวกเรากลับไม่สำนึก กลัวจะได้ตายดีบนเตียงบนฟูก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ว่างั้นเหอะ พับผ่าเถอะ
ตามมาด้วยคดีความให้คึกคักอย่างเคย
งานนี้ นส. ตื่นตา เจอข้อหาหนัก อัยการนำตัวไปฟ้อง ฐานเจตนาฆ่า นายอย่างแรง ด้วยอาวุธปืน โป้งเดียวจอด เจ้าหล่อนต้องจ้างทนายสู้คดี ให้การปฏิเสธว่า หนูไม่ได้ฆ่าเขานะเจ้าคะ เขาฆ่าตัวตายมั้ง
ศาลชั้นต้นนั่งฟังปากคำของพยานฝ่ายอัยการและฝ่าย นส. ตื่นตา จนเมื่อยขบ หน้างี้บึ้งกว่าเดิม ทั้งๆ ที่บึ้งเป็นปกติอยู่แล้ว ตามฟอร์มของตุลาการทั่วโลก และตัดสินว่า นส. ตื่นตา มีความผิดข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ นายอย่างแรง ตาย จำคุก 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คือ แบ่งรับแบ่งสู้ ศาลสบายใจ แน่ใจว่าตัดสินไม่ผิด มีส่วนลดให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นยก คืนปืนของกลางแก่เจ้าของ
อัยการโจทก์เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ไม่ทำอะไรอีก แต่ นส. ตื่นตา ซึ่งน่าจะสวยไม่เบา หากดูตามชื่อ ดิ้นรนด้วยการยื่นอุทธรณ์ เพราะไม่อยากติดคุก แล้วได้กรี๊ด เมื่อ
ศาลอุทธรณ์ซึ่งเพ่งดูแต่เฉพาะสำนวน ไม่ได้เห็นหน้า นส. ตื่นตา หรือใครให้วอกแวก พิพากษากลับ ยกฟ้อง ไม่เอาผิด นส. ตื่นตา แทงว่าเธอทำด้วยความจำเป็น เพื่อห้ามไม่ให้ นายอย่างแรง เอาปืนจ่อหัว เล่นเกมรัสเซียนรูเลท
โจทก์คืออัยการต้องออกเหงื่อยกท้าย ยื่นฎีกาเพื่อให้ลงโทษ นส. ตื่นตา ตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้
ศาลฎีกาคว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว ใช้แรงฮึด เพราะเมื่อยเต็มทน คดีมีเข้ามาบานเบิก แล้วชี้ขาดว่า
เมื่อศาลชั้นต้นไม่เอาผิดข้อหาฆ่าโดยเจตนา โจทก์ไม่อุทธรณ์โต้แย้ง ถือว่าข้อหาหนักยุติ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ชี้ไปอีกทางว่า นส. ตื่นตา มีความจำเป็นต้องทำ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่น พ้นจากภยันตรายใกล้จะถึง ไม่ใช่กระทำโดยประมาท แล้วอัยการโจทก์ยืนยันว่า กระทำโดยประมาทตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ ศาลฎีกาจึงต้องขบให้แตก
คดีนี้ได้ความว่า นส. ตื่นตา กับ นายอย่างแรง อยู่กินเป็นผัวเมียกันก่อนเกิดเหตุ 4-5 เดือน พักอาศัยอยู่ในห้องเช่าที่เกิดเหตุ วันนั้นนายอย่างแรง ดวดเหล้าเช้าถึงบ่าย มีเพื่อนมาร่วมวง เพื่อนกลับไปแล้วจึงเกิดเรื่อง นายอย่างแรง โดนกระสุน .38 เจาะหัวด้านขวาทะลุซ้ายถึงตาย ไม่ได้มีเหตุทะเลาะกัน ไม่มีพยานอื่นรู้เห็น อัยการโจทก์มีแค่คำให้การชั้นสอบสวนของ นส. ตื่นตา มาส่งศาล ให้การหลังเกิดเหตุ 1 วัน บอกว่า เพื่อนๆ กลับไปแล้ว นส. ตื่นตา กับ นายอย่างแรง อยู่กัน 2 คน ผู้ตายนั่งพิงผนังห้องพัก นส. ตื่นตา นอนหันปลายเท้าไปทาง นายอย่างแรง นส. ตื่นตา ถามว่า ปืนของ นายอย่างแรง อยู่ไหน เขาบอกว่าอย่ายุ่งเรื่องของเขา แล้ว นายอย่างแรง เอื้อมมือข้ามตัว นส. ตื่นตา ไปหยิบปืนที่หัวนอนของ นส. ตื่นตา เอาปากกระบอกปืนหันเข้าหาหัวตนเอง นส. ตื่นตา ตกใจกลัวว่าเขาจะยิงตัวเอง จึงใช้มือทั้ง 2 ข้างกำที่มือ นายอย่างแรง ซึ่งถือปืนอยู่ แล้วเสียงปืนดังขึ้น�1�นัด นายอย่างแรง ตาย และมี นายสิบตำรวจ มายันอีกว่า ได้บันทึกปากคำ นส. ตื่นตา ตั้งแต่คืนเกิดเหตุ มีข้อความสอดคล้องกับบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน ศาลจึงมองว่า เอกสารทำขึ้นกระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุ ไม่ทันคิดปรุงแต่งให้เหตุการณ์ผิดเพี้ยนไป รับฟังได้เชื่อได้
การที่ นส. ตื่นตา เบิกความแก้ตัวในชั้นพิจารณาว่า คืนเกิดเหตุพอเพื่อนๆ ไปแล้ว นายอย่างแรง เอาปืนมาเล่น ตนห้ามไว้ เขาบอกว่าอย่ายุ่ง หลังจากนั้นก็นอนครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ลุกขึ้นมาดู ทำนองว่าผู้ตายยิงตนเอง เห็นว่าไม่มีน้ำหนัก เนื่องจากเก็บเขม่าปืนได้จากมือ นส. ตื่นตา มีปริมาณที่เชื่อได้ว่าใช้อาวุธปืนยิงมาแล้วใหม่ๆ
งานนี้ต้องดูว่า ความตายของผู้ตายเป็นผลจากการเข้าแย่งอาวุธปืนไหม ได้ความจากปากคำของ นส. ตื่นตา ด้วยว่า นายอย่างแรงชอบเล่นปืน บางครั้งเอากระสุนปืนออกจากลูกโม่ แล้วจ่อยิงหัวตนเองหรือผู้อื่น เพื่อล้อเล่น ในวันเกิดเหตุ ก็เอาปืนมาเล่นอีก แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ขณะเข้าแย่งปืน นายอย่างแรง จะยิงตนเอง หรือเมาจนไม่ได้สติ นส. ตื่นตา ก็ไม่รู้ว่า ปืนมีกระสุนไหม การที่ นส. ตื่นตา เข้าแย่งปืนอีแบบนั้น ถือว่าไม่ระมัดระวัง เป็นการกระทำโดยประมาท ดังที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ ไม่ใช่ทำด้วยความจำเป็นจนเกิดเรื่องดังที่ศาลอุทธรณ์ระบุ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ยังไงก็ตาม นส. ตื่นตา ทำไปด้วยเจตนาดีต่อผู้ตาย ไม่ปรากฏว่าเธอได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรรอการลงโทษให้ ตามที่เจ้าหล่อนแก้ฎีกา
ศาลฎีกาจึงยอมเวียนหัวอีกครั้ง พิพากษากลับว่า นส. ตื่นตา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 4 ปี ลด 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก คืนของกลางแก่เจ้าของ
คนเราก็แปลก ที่เสี่ยงกับปืนด้วยการเล่นรัสเซียนรูเลท แล้วหัวก็เป็นรู ไม่รู้กี่รายต่อกี่ราย ตายหยังเขียด พลอยให้โรงศาลเดือดร้อนทำคดีทุลักทุเลอย่างที่เห็น
ครับหมู่เฮาไทยเราทั้งนั้น หันหน้าเข้าหากันแบบฉันมิตร ไม่ใช่หันหน้าเข้าราวีกัน นั่นแหละดีที่สุด ไม่มีที่ไหนดีกว่าประเทศไทยอีกแล้ว แค่เรารักกันสามัคคีกันซะอย่าง เราไปโลด คนชาติอื่นๆอิจฉาตายก็แล้วกัน เชื่อผม
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7227/2553
อาญา ตีพิมพ์ใน ฟอร์มูลา ส่งไป ๑๓ ส.ค.๒๕๕๖
ABOUT THE AUTHOR
&
"จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล