ใส่สีใส่สัน
นางสาวสุวรรณ
เมื่อ 91 ปีก่อน ในแผ่นดินรัชกาลที่ 6 สยามประเทศมีฝรั่งเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรก โดยบริษัทภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซล ขนอุปกรณ์การถ่ายทำ รวมทั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขึ้นเครื่องบินมาจากสหรัฐอเมริกา รวมน้ำหนัก 12 ตัน ผู้อำนวยการสร้างชื่อ เฮนรี แมคเร เดิมทีตั้งใจมาทำหนังสารคดี "โลกเมื่อ 25 น." เพราะได้ข้อมูลผิดๆ ว่า สยามเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีไฟฟ้า แต่สภาพป่าของสยามแตกต่างจากสภาพป่าของแอฟริกา
ครั้นมาถึงบางกอก เห็นสภาพตรงกันข้าม ติดอกติดใจมากที่สุด คือ การพนมมือไหว้ของชาวสยาม แมคเร เปลี่ยนใจทำหนังรักแสนหวาน เรื่อง "นางสาวสุวรรณ" ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ และกำกับการแสดงเอง ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด ฝรั่งฮอลลีวูดสมัยนั้นน้ำเน่าปลาตายกันมาก "สตอรี" ของ "นางสาวสุวรรณ" จึงน้ำเน่าทั้งเรื่อง
พระเอกเป็นข้าราชการผู้ยากจน รับราชการอยู่ในหอพระสมุดประจำพระนคร เรียกพ่อว่า พ่อเย็น เรียกแม่ว่า แม่มะลิ ตัวพระเอกชื่อ "กล้าหาญ" วันหนึ่งแจวเรือกันมาในคลองบางหลวง เห็นนางเอกชื่อ "สุวรรณ" ตกน้ำ กล้าหาญ ก็กระโดดลงไปช่วย หลังจากนั้น พ่อนางเอกซึ่งเป็นคนมีฐานะชื่อ "คุณวณิช" แทนที่จะขอบใจที่ช่วยชีวิตลูกสาว กลับแสดงความไม่พอใจ ที่เห็น นายกล้าหาญ กอดนางสาวสุวรรณ ไว้แนบอก
พระเอกหลงรักนางเอก แบบดอกฟ้ากับหมาวัด วันหนึ่งได้พบนางเอกในวัดพระแก้ว (แมคเร คงยังไม่รู้จักวัดมหาบุศย์) ก็ถูกผู้ร้ายกีดกัน ผู้ร้ายในเรื่องนี้ คือ "ก่องแก้ว" ที่ร้ายก็เพราะเป็นผู้ชายที่หลงรักนางเอกเหมือนกัน
นางเอกถูกปั่นหัวตลอดเวลาว่า พระเอกยากจน ให้ดูถูกไม่ให้ดูผิด แต่นางเอกก็ชอบพระเอกเพราะหน้าตาหล่อดียังกะ เจมส์ จิรายุ ส่วนนายก่องแก้ว ที่เป็นผู้ร้ายมีหนวดน่ากลัว พ่อเย็น กับแม่มะลิ จึงเปิดเผยความจริงว่า พระเอกเป็นคนมีตระกูลทางภาคเหนือ พ่อแม่พามาเที่ยวบางกอก เสร็จแล้วมีอันเป็นไปพ่อแม่ตาย เหลือแต่เด็กชายกล้าหาญ จึงเก็บเอามาเลี้ยง
ผู้ร้ายวางแผนฆ่า หลอกพระเอกกับพ่อเย็นไปทำงานที่เชียงใหม่ (แมคเร คงไม่รู้จักทุ่งกุลาร้องไห้) แต่แผนผิดพลาดฆ่าผิดตัว พระเอกถูกซักทอดเป็นผู้ฆ่า ถูกจับ นางเอกกำลังตากอากาศที่หัวหิน (แมคเร คงยังไม่รู้จักพัทยา) พ่อเย็น ตามไปบอกข่าว นางเอกก็เลยขึ้นเชียงใหม่ไปช่วยพระเอกพร้อมกับ พ่อเย็น ที่นำเสมาทองคำที่พระเอกห้อยคอตั้งแต่เด็กไปด้วย เศรษฐีคนหนึ่งของเชียงใหม่เห็นเสมาทองคำก็รู้ทันทีว่า นายกล้าหาญ ที่แท้เป็นหลานชายของตัว
ฆาตกรตัวจริงยอมสารภาพ ผู้จ้างวานหรือผู้ร้ายถูกจับกุม คุณวณิช ตามขึ้นมาถึงเชียงใหม่ พอรู้ว่าพระเอกเป็นลูกหลานเจ้าเชียงใหม่ ก็เลยยกลูกสาวให้ด้วยความยินดี แฮพพีเอนดิง ผู้แสดงเป็นนางเอกในเรื่อง คือ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร เป็นนางละครรำของกรมมหรสพ ได้รับค่าจ้างถึง 3,000 บาท ไม่รวมค่าเบี้ยเลี้ยงอีกวันละ 5 บาทในวันเข้าฉาก พระเอกก็เป็นข้าราชการในกรมมหรสพเช่นเดียวกัน ชื่อ ขุนรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฏ) เป็นนักแสดงโขนหลวง เล่นทีไรก็ต้องเล่นเป็นพระรามทุกครั้ง
ส่วนผู้ร้ายเป็นคุณหลวง ชื่อ คุณหลวงภรตกรรมโกศล (มงคล สุมนนัฏ) เป็นข้าราชการอยู่ที่กรมมหรสพ ทำหน้าที่เป็นสมุห์บัญชี ลงทะเบียนข้าราชการของกรมไว้ทั้งหมด ที่มาเป็นผู้ร้ายก็เพราะเหตุบังเอิญ ดันมายืนมุงอยู่ในกลุ่ม "สยามมุง" แมคเร ก็เลยจับเอามาเล่นหนัง
หนังตัดต่อและทำคำบรรยายตามประเพณีหนังเงียบขาวดำ ที่กรมรถไฟหลวง ซึ่งมีแผนกภาพยนตร์ เสร็จแล้วก็นำออกฉาย เก็บเงินรายได้ช่วยเหลือสภากาชาดไทย นสพ. เดลีเมล์ ฉบับวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน ปี 2466 ลงข่าวว่า "คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้ชมต่างพากันไปทัศนาภาพยนตร์ "นางสาวสุวรรณ" และช่วยเหลือสภากาชาดไทยโดยบังเอิญไปในคราวเดียวกัน"
กรมหลวงนครราชสีมา ก็เสด็จเข้าชมที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร ซึ่งมีการจัดฉายอย่างดีเลิศ แน่นอนว่าความสนใจอันมหาศาลย่อมพุ่งตรงไปที่ภาพยนตร์ท้องถิ่นเรื่อง "นางสาวสุวรรณ" ซึ่ง เฮนรี แมคเร, รอเบิร์ท เคอร์ร์-ผู้ช่วยผู้กำกับ และดาล คลอว์สัน-ผู้ถ่ายภาพ ได้ดำเนินงานสร้างขึ้น ภาพยนตร์นี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ประหนึ่งเป็นสิ่งมโหฬารสิ่งแรกที่ทำกันในประเทศนี้ และภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อขายฉากหลังอันประกอบด้วยภูมิประเทศนานัปการ กล่าวคือ ขายทัศนียภาพของประเทศ ส่วนเนื้อเรื่อง ก็มีลักษณะเด่นอันจำเป็นๆ คือ เรื่องประโลมโลก, ความรัก, ความชัง, ความแค้น, ผู้บริสุทธิ์ที่เคราะห์ร้าย, การกล่าวหาเท็จ, การฆ่าฟัน ฯลฯ แล้วไปปิดท้ายอย่างเหมาะเจาะ และงดงาม ด้วยฉากที่ผู้พลัดพรากจากกันนาน ได้กลับสู่เหย้าเดิม แล้วคู่รักก็เดินจูงมือกันไปสู่อนาคตอันสดใส
ทั้งหมดนี้เดินทางผ่านฉากอันเป็นชีวิตจริง ตั้งแต่ภาพ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ประทับนั่ง "รับการเฝ้าตามธรรมเนียม" ไปจนถึงฉาก "ช้างหัตถี", ฉากสนามกอล์ฟที่หัวหิน, พิธีแรกนาขวัญ, เพลิงไหม้พระนคร และแห่ล้อมด้วยหมู่พระที่นั่ง และวัดวาอาราม กลายเป็นการโฆษณาชั้นเลิศให้การรถไฟสยาม และความเจริญอื่นๆ ของสยาม
"ภาพยนตร์นี้น่าชมเสียจริง นับตั้งแต่เนื้อเรื่อง จุดยืนทางทัศนียภาพ และสิ่งอื่นๆ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องในการผลิต ต้องยกกิตติคุณและความชอบให้งานแสนดีนี้ คืนนี้จะฉายภาพยนตร์เรื่องนี้อีก ที่โรงภาพยนตร์พัฒนาการ และโรงภาพยนตร์ฮ่องกง และแน่นอนว่า เราขอแนะนำให้ท่านทั้งหลายที่ยังไม่ได้ไปดู จงไปดูกันเสีย"
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92193