โค้งอันตราย
เรื่องจริงกำลังมา
ปิดครึ่งแรกของปี ด้วยความเป็นจริงแห่งชีวิต ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ที่แม้แต่จะเป็นเดือนที่เข้าช่วงหน้าฝน ซึ่งยอดขายจะแผ่วเป็นปกติของทุกปี แต่หนนี้แผ่วแบบตกต่ำมากที่สุด เพราะยอดขายหดตัวลงถึง -14.8 % เดือนเดียวขายได้เพียง 104,363 คัน เท่านั้น
แต่มองภาพรวม 6 เดือน ยังพอมีผลบุญที่ทำมาตั้งแต่ต้นปี ยังเติบโตอยู่ 21.9 % ยอดรวมปิดด้วยตัวเลข 732,158 คัน เท่านั้นเอง
ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ก็รีบตั้งโต๊ะคุยข่าวทันที ว่าตลาดช่วงครึ่งปีแรก สะท้อนให้เห็นถึงการเร่งการผลิตของโรงงานแต่ละเจ้า เพื่อให้ทันส่งมอบกับยอดจองที่ทะลักมาจากโครงการรถคันแรก และส่งมอบกันไปได้ราว 1 ล้านคันแล้ว ยังเหลืออีกราว 2 แสนคัน ที่จะค่อยๆ ทยอยส่งมอบกันต่อไป
ขณะเดียวกัน ต่างก็พากันลดเป้าหมายยอดขายในปีนี้ลง ว่าอาจเหลือเพียงแค่ 1.2 ล้านคัน เท่านั้น เต็มที่ก็คงจะราว 1.3 ล้านคัน ที่ค่ายยักษ์ใหญ่ต่างก็มองไม่ค่อยเหมือนกันเท่าใดนัก ก็ต้องถือว่า มองกันคนละมุม ในมุมมองของนักข่าวก็ประมาณว่า 1.2 ล้านคันมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่นักการตลาดเห็นต่าง มองเป้าเอาไว้สูงเริด เลยต้องมายอมลดเป้าอีกตอนครึ่งปีนี้เอง
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ แคมเปญของค่ายรถยนต์ ที่กระหน่ำกันแบบเทกระจาด นาทีนี้คำว่า 0 % แทบจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ไปแล้ว เพราะเมื่อยักษ์ใหญ่ลงมาเล่น ยักษ์เล็กก็ต้องเล่นตามไปด้วย ไม่งั้นสตอคบานเบอะแน่นอน
เท่านี้ก็ประเมินกันว่า สตอคในมือดีเลอร์ตอนนี้ ตกเข้าไป 2 เดือนแล้ว ดอกเบี้ยมันวิ่งทุกวัน ไม่หยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์ ก็ต้องดิ้นกันทุกทางนั่นแหละ
นาทีนี้เป็นนาทีทองของผู้บริโภคแล้ว จนกว่าจะถึงเดือนกันยายน ที่จะต้องซาลง เพราะเตรียมเปิดรถใหม่ หรือไมเนอร์เชนจ์กันตามสภาพตลาดขาขึ้นช่วงปลายปีแล้ว
อ้อ ยักษ์ใหญ่มีแถมว่าปีหน้ารถยนต์ขึ้นราคาแน่นอน หากรัฐบาลประกาศเรื่องมาตรฐานควบคุมไอเสีย ค่าคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ต้องปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ ต้นทุนเพิ่ม ต้องขึ้นราคารถแน่นอน
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
มาดูช่วงครึ่งปีหลังกันดีกว่า สิทธิการะยะ ท่านว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลังจะชะลอลงจากครึ่งปีแรก และช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมาก เนื่องจากแรงกระตุ้นจากการส่งมอบรถยนต์คันแรกได้เสร็จสิ้นแล้ว ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เห็นได้จากที่หลายหน่วยงานประกาศ ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ประกอบกับภาระหนี้สินในภาคครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น จะมีผลกระทบต่ออำนาจในการใช้จ่าย และความสามารถในการชำระหนี้ให้ลดลง ดังนั้นอาจส่งผลต่อความเสี่ยงคุณภาพการชำระหนี้ และคุณภาพลูกหนี้ในอนาคตเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะเริ่มเห็นถึงบรรยากาศของความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นแล้ว และน่าจะมีแนวทางในการบริหารจัดการที่มากขึ้น ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่ และการดูแลการชำระหนี้กลุ่มลูกค้าเดิมมากขึ้น
ฟากของการวิจัยของธนาคารพาณิชย์ก็ระบุว่า หนี้ครัวเรือนของไทยมีอัตราการเร่งตัวเพิ่มขึ้นเป็น 80 % ต่อ จีดีพี จาก 77 % ในปี 2555 และ 70 % ในปี 2554 ขณะที่ปี 2553 หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับ 63 % ต่อ จีดีพี ซึ่งเป็นการเติบโตภาระหนี้ที่อยู่ระดับสูงกว่า 10 % ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยหนี้ทั้งหมดนี้เป็นตัวเลขรวมหนี้ครัวเรือนในสถาบันการเงินทั้งหมด ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจ สหกรณ์ออมทรัพย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิทฟองซิเอร์
โดยระดับหนี้ครัวเรือน 80 % ต่อ จีดีพี นั้น ถือว่าอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งถูกกระตุ้นด้วยนโยบายรถคันแรกทำให้สินเชื่อรถยนต์เพิ่มสูงขึ้น ครัวเรือนมีความสามารถในการใช้จ่ายลดลง จากการมีภาระหนี้สินต่อเดือนเพิ่มขึ้น ซึ่งภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลไปถึงความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในอนาคตด้วย
ผลจากหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยกู้น้อยลง เพราะธนาคารจะเริ่มมองเห็นปัญหาในลูกค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเรื่องหนี้เสีย ซึ่งก็จะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง
นั่นก็หมายความว่า เมื่อคุณมีภาระหนี้ในการเช่าซื้อรถยนต์คันแรกแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ แทบจะไม่สามารถรับภาระหนี้ในการผ่อนบ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์ได้เลย เพราะสถาบันการเงินต้องควบคุมเรื่องเหล่านี้อยู่เช่นกัน
เอาเรื่องผลสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กร 32 แห่ง จำนวน 62 คน เรื่อง วัฏจักรเศรษฐกิจกับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย อีกเรื่อง
พบว่านักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 62.9 เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย (CONTRACTION/RECESSION) ซึ่งเป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มลดลง จีดีพี และความต้องการสินค้าโดยรวมลดลง ธุรกิจเริ่มขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน การผลิตและการจ้างงานลดลงมีเพียงร้อยละ 12.9 ที่เห็นว่าอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว เมื่อถามต่อว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำหรือไม่ ร้อยละ 61.2 เห็นว่ามีความจำเป็น ขณะที่ร้อยละ 30.6 เห็นว่าไม่มีความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 51.6 เสนอให้กระตุ้นด้วยการเร่งการลงทุนภาครัฐในโครงการต่างๆ ตามที่ได้วางแผนไว้ร้อยละ 41.9 เสนอให้กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน
นั่นเป็นข้อมูลจากการวิจัยของสถาบัน เอามาบันทึกไว้ในยามที่ยอดการขายรถยนต์เริ่มเข้าสู่ความเป็นจริง ไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจใดๆ แต่เจ้าโครงการรถคันแรก ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับค่ายรถยนต์วุ่นวาย ต้องเร่งการผลิตเพื่อส่งมอบ พอเร่งการผลิตแล้ว คนที่จองรถเอาไว้กลับไม่มารับรถเสียอีก
ต้องมานั่งวิเคราะห์กันมากมาย ว่า เสียเงินจองแค่พันเดียว จองมัน 3-4 โชว์รูม หรือจองมัน 3-4 ยี่ห้อเลยดีกว่า ได้ยี่ห้อไหนก่อน ก็ยอมทิ้งเงินจอง หรือไม่งั้นก็ทำเป็นไปขอคืน อ้างโน่นนี่สารพัด
เลยเดือนร้อนให้นักการตลาดต้องออกมานั่งแถลงข่าวกันสนุกสนาน ที่นับจากนี้ไปก็แทบจะไม่เป็นข่าวแล้ว เพราะตัวเลขมันฟ้องออกมาถึงความเป็นจริง ว่าความต้องการที่แท้จริงเป็นอย่างไร จะต้องปรับสายการผลิตอย่างไร ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค
โดยที่ดีเลอร์ไม่ต้องสตอครถกัน 2-3 เดือนอย่างนี้
ไม่ต้องบอกยี่ห้อดีกว่านะ คนคุ้นเคยกันอยู่ 555
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92168