ชีวิตคือความรื่นรมย์
คำลงท้ายในบทอาศิรวาท
"
การใช้ราชาศัพท์ ถ้าเอาไปใช้ในการแต่งบทประพันธ์หรือวรรณคดีนั้นเราใช้ได้ เป็นศิลปะ แต่เมื่อใช้ราชาศัพท์ต่อองค์พระมหากษัตริย์นี้ เราต้องรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี จะต้องเรียนจริงๆ จังๆ จะต้องใช้เวลา แล้วก็ต้องมีความชำนิชำนาญในการที่จะใช้ นี่เป็นการเตือนเพื่อนครูภาษาไทยว่า เมื่อได้ฟังใครเขาใช้ราชาศัพท์ ไม่ใช่ว่าจะถูกทุกทีไป คือว่าควรจะถามหลายๆ คนว่าที่ใช้อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
"
หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ อภิปรายในการประชุมวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬา ฯ เมื่อ 29 กรกฎาคม 2505
ด้วยเหตุว่า คำราชาศัพท์-เป็นลักษณะสำคัญหรือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในภาษาไทย ผู้เขียนจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง (อ่าน) บ่อยๆ ณ ที่นี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า การใช้ภาษาของไทยในการสื่อสารกันนั้น เรามีระเบียบการใช้ภาษาให้เหมาะกับสถานของบุคคล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคำที่ใช้กับบุคคลในระบบกษัตริย์ แต่มีระเบียบที่ใช้กับคนทุกระดับ อันแสดงถึงวัฒนธรรมทางภาษาของไทยอยู่ในระดับสูง ทำนองชาติที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่ดีมาแต่อดีตกาล
ผู้เขียนคัดคำปรารภของหม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ เชื้อพระวงศ์จากราชสกุล "กุญชร" หนึ่งในราชตระกูลแห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งกล่าวออกเฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนอภิปรายในการประชุมครั้งสำคัญอันเป็นต้นกำเนิด "วันภาษาไทยแห่งชาติ" ด้วยก่อนหน้านั้น ท่านขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อภิปรายในที่ประชุมด้วยภาษาสามัญ ไม่ขอใช้ราชาศัพท์ โดยอ้างว่าท่านเป็นแต่ข้าราชการฝ่ายหน้า ไม่เคยเป็นข้าราชการฝ่ายใน "คงจะมีการพลาดพลั้ง" ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งคั่น ทันทีว่า
"ให้อนุญาตน่ะให้ละ แต่ขอตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า ราชาศัพท์นั้นเป็นภาษาวรรณคดี ทุกคนควรจะทราบ โดยเฉพาะในคณะอักษรศาสตร์นี้"
เมื่อหม่อมหลวงบุญเหลือกราบบังคมทูลต่อไปว่า "ถ้ามีพระราชประสงค์เช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะพยายาม แต่ว่า
" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งคั่นทันทีอีกว่า
"ไม่ใช่ต้องการให้ทำอย่างนั้น แต่ก็ขออย่าได้ออกตัวว่าไม่ทราบ เพราะขายหน้านักเรียน แต่ว่าในการที่จะพูดกับที่ประชุม อนุญาตทุกเมื่อ เพราะว่าอย่างอาจารย์สุมนชาติ และเสด็จในกรม และผู้ที่พูดต่อที่ประชุม ไม่ต้องขอเดชะ อนุญาตให้ทั้งนั้น"
(หมายเหตุผู้เขียนอาจารย์สุมนชาติ คือ หม่อมราชวงศ์ สุมนชาติ สวัสดิกุล ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วน เสด็จในกรม หมายถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อดีตเลขาธิการสหประชาชาติชาวไทยพระองค์เดียว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นักปราชญ์ผู้ทรงบัญญัติศัพท์มากมายที่ไทยใช้จนทุกวันนี้)
ข้าพเจ้านับว่าโชคดีได้เข้าเล่าเรียนในคณะที่ใช้ภาษา และได้เข้าเฝ้าเจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์บ่อยเข้า ก็ได้รับรู้ว่า พระบรมวงศานุวงศ์นั้น ตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ลงมา ท่านไม่ถือโทษหรอกว่าใครจะใช้ราชาศัพท์กับท่านผิดถูกอย่างไร เราคนไทยควรคำนึงถึงความถูกต้องในการใช้ภาษา โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ (และในการประชุมของชุมนุมภาษาไทย ที่มีการถ่ายทอดไปสู่คนไทยทั้งประเทศและทั่วโลก เป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าร่วมอภิปรายการใช้ภาษาไทย ซึ่งแสดงให้เห็นความเอาพระทัยใส่จริงจัง และทรงแสดงให้คนทั้งหลายซึ้งในพระปรีชาสามารถและพระวิจารณญาณอันคาดไม่ถึงของพระองค์ และวันนั้น ต่อมาอีกหลายปี รัฐบาลสมัยที่ ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีมติให้ถือเอาวันที่ 29 กรกฎาคม เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ
ราชาศัพท์ที่จะขอนำมากล่าว (ซ้ำซาก) อีกในที่นี้ ด้วยเหตุว่าท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่งบ่นรำคาญว่า การใช้คำลงท้ายในบทอาเศียรวาทหรือบทถวายพระพร ในวาระสำคัญๆ ของพระบรมวงศ์นั้น ทำไมใช้ไม่เหมือนกัน บ้างก็ว่า ควรสูงไว้แหละดี ซึ่งผู้รู้บอกว่า ไม่ดีหรอก ควรพอดีๆ น่าจะสมควรยิ่งกว่าอื่นใด แต่ใครจะเป็นผู้กำหนดว่า เพียงไหนพอดีๆ เพราะในหนังสือราชาศัพท์ที่มีสำนักพิมพ์หรือองค์กรต่างๆ พิมพ์ออกมาจำหน่าย-จ่าย-แจก ต่างก็ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ผู้เขียนตอบได้ว่า สำนักงานเอกลักษณ์ของชาติ ราชบัณฑิตยสถาน และ/หรือสำนักพระราชวัง ฯลฯ เป็นอย่างน้อย น่าจะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่นี้ (กระมัง?)
เมื่อยังไม่มีที่พึ่งอื่น ผู้เขียนก็มีที่พึ่งอยู่เล่มหนึ่ง คือ "ข้อพึงปฏิบัติในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท" แล้วนำมาประมวลกับหนังสือ "ราชาศัพท์ ซึ่งราชบัณฑิตยสถานจัดพิมพ์ เพราะผู้เขียนเห็นว่า เป็นหนังสือที่น่าเชื่อถือ อ้างอิงได้มาก น่าที่จะมีการพิมพ์และเผยแพร่ให้กว้างขวางมากๆ โดยเฉพาะเผยแพร่แก่องค์กรและบุคลากรผู้ทำสื่อทั้งหลาย ควรจะมีไว้ใกล้ตัวมากที่สุด
แม้ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ ก็ยังพบที่ใช้ผิดๆ อยู่ ทั้งทางวิทยุ-โทรทัศน์ และที่เห็นมาก (เพราะดูได้หลายวัน) คือ หนังสือพิมพ์ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ ผู้เขียนขอกล่าวซ้ำอีกดังนี้
หนึ่ง-สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ใช้ว่า "ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ" ซึ่งทุกคนทราบดี ไม่ค่อยจะมีผิดพลาดให้เห็น (ยกเว้นคำโปรยหัวข้อที่ "ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา" ซึ่งใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น บางคนเขียน "ฑีฆา" (ใช้ ฑ-นางมณโฑ" ซึ่งผิดอย่างฉกรรจ์ ต้องใช้ ท-ทหาร)
อีกประการหนึ่ง บางคนใช้ข้อความเดียวกันนี้ สำหรับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อเป็นเพศหญิง คำกริยาที่ใช้ต้องเปลี่ยนเป็น "ทีฆายุกา โหตุ มหาราชินี" จึงจะถูกต้อง ซึ่งถึงวันนี้ ผู้เขียนยังพบว่ามีคนเขียนผิดอยู่ แต่ก็น้อยลง
สอง-สำหรับพระบรมวงศ์ชั้นพระมหากษัตริย์ ที่ใช้ "ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ" นั้น สำหรับพระองค์ที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ฯลฯ ท่านศาสตราจารย์ หม่อมหลวงจิรายุ นพวงศ์ องคมนตรีที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านว่า ไม่ต้องมี "ขอเดชะ" ด้วย เพราะเราไม่ได้กราบบังคมทูลต่อพระพักตร์ได้อีกแล้ว
ที่น่าสังเกตอีกอย่าง ผู้เขียนเคยเห็นว่า มีกวีบางคน เขียนบทอาเศียรวาทพระมหากษัตริย์ที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว ยังเขียนบทกวีเชิงถวายพระพร "ขอพระองค์ทรงพระเจริญ" อยู่อีก (แม้ว่าถ้อยคำที่เขียนจะไม่ได้กล่าวเช่นนั้นโดยตรง แต่ตีความได้ทำนองนั้น แทนที่จะกล่าวรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นสำคัญ) แม้กระทั่งหัวเรื่อง ก็ควรเป็น "ราชสุดี หรือ พระราชานุสรณ์ คือ เนื้อหามุ่งไปที่ระลึกถึงพระราชกรณียกิจ หรือพระคุณูปการที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมืองและประชาชน
สาม-สำหรับพระยุพราช คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ท่านให้ใช้ "ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม" (ขณะที่คำกราบบังคมทูลใช้ว่า "ขอเดชะฝ่าละอองพระบาท" ไม่ใช้ "ละอองธุลี" เหมือนระดับพระมหากษัตริย์ แต่คำสรรพนามแทนผู้เขียน คงใช้ว่า "ข้าพระพุทธเจ้า" เหมือนที่ใช้กับระดับพระมหากษัตริย์)
ที่น่าสังเกตในยามนี้ คือ มีคนนำเอาคำลงท้ายนี้มาใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นรองๆ ลงมาในหนังสือพิมพ์หลายฉบับมาก (และใช้คำสรรพนาม "ข้าพระพุทธเจ้า" แทนตน)
สี่-สำหรับพระบรมวงศ์ชั้นถัดมา คือ สมเด็จเจ้าฟ้า (พระราชโอรส พระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินและสมเด็จพระมเหสีหรือพระบรมราชินี) ซึ่งตอนนี้คงมี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ท่านให้ลงท้ายว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม และสรรพนามแทนผู้เขียนหรือองค์กรที่ถวายบทอาเศียรวาท ก็ใช้ ข้าพระพุทธเจ้า
ห้า-สำหรับพระบรมวงศ์ชั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า... และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า (เช่น พระเจ้าหลานเธอ) ที่มิได้ทรงกรม (คือ ยังไม่ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็น กรมขุน-กรมหลวง-กรมพระ-กรมพระยา ฯลฯ) ท่านให้ลงท้ายว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด คำสรรพนามแทนผู้เขียนใช้ เกล้ากระหม่อม" (ชาย) และ "เกล้ากระหม่อมฉัน (หญิง)
อนึ่ง มีคนถามว่าในคำกราบบังคมทูลนั้น คำว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท" กับ "ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" ใช้ต่างกันอย่างไรหรือไม่
ในชีวิตผู้เขียนเคยได้ยินอดีตประธานรัฐสภาสองท่านเคยอ่านคำกราบบังคมทูลในวาระสำคัญว่า"ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม" ซึ่งผู้รู้ บางท่านเห็นด้วยกับผู้เขียนว่าไม่น่าจะใช่ เพราะคำว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" นั้น เป็นคำสรรพนามบุรุษที่สอง แทนองค์พระมหากษัตริย์ หรือพระบรมราชินีนาถ เช่นเดียวกับ "ใต้ฝ่าพระบาท" สำหรับพระบรมราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า-พระองค์เจ้า หรือ "ฝ่าพระบาท" สำหรับหม่อมเจ้า (ซึ่งเวลาพูดจริงๆ เหลือแต่คำว่า "ฝ่าบาท") หรืออย่างที่เราใช้ว่า "ใต้เท้า" สำหรับขุนนาง
ฉะนั้น ในคำกราบบังคมทูล จึงควรเป็น ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีนาถ
และ ขอเดชะฝ่าละอองพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม สำหรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี @
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92166