ชีวิตคือความรื่นรมย์
ภาษาพาสุข
มีคนจำนวนไม่น้อยที่บ่นว่าวิชาภาษาไทยนั้นยาก เด็กๆ จึงไม่ค่อยสนใจ เลยใช้ภาษาไทยผิดๆ กันเป็นประจำ แท้จริงแล้ว ภาษาไทยเรานั้น มีเอกลักษณ์ หรือลักษณะพิเศษ (ที่ปราชญ์ทางภาษาท่านใช้คำไพเราะว่า อัจฉริยลักษณ์ หลายประการ ซึ่งผู้เขียนถือว่าเป็น ความงดงามของภาษาไทย จึงได้พยายามสรุปลักษณะสำคัญไว้เป็นกลอนว่า
"ภาษาไทยเกียรติยศงดงามนัก/เลิศอัจฉริยลักษณ์เป็นสักขี/หนึ่งมีความเป็นภาษาดนตรี/เลียนเสียงใดในโลกนี้ทุกลีลา/ทั้งเสียงคนเสียงสัตว์เสียงธรรมชาติ/ทั้งสามารถเลียนเสียงทุกภาษา/สองอักษรไทยนี้มีนานมา/ปิ่นราชารามคำแหงทรงแต่งไว้/ทั่วโลกนี้มีกว่าสามพันภาษา/แต่มีเพียงอักษรานับร้อยได้/หนึ่งในนั้นคืออักษรของชาติไทย/ไทยจึงควรภูมิใจภาษาตน/สามไทยมีตัวเลขเป็นเอกลักษณ์/ตัวเลขไทยทรงศักดิ์อนุสนธิ์/มีรูปร่างงดงามทุกยามยล/ไทยทุกคนควรเขียนใช้เลขไทยงาม/สี่คำไทยเป็นภาษาคำโดด/บอกตระกูลความช่วงโชติชาติสยาม/แต่เปิดรับต่างภาษามาเสริมความ/ภาษาไทยจึงวาววามตามโลกทัน/ห้าไทยมีฉันทลักษณ์หลากชนิด/สื่อนิมิตบทกวีหลากสีสัน/ทั้งโคลงฉันท์กาพย์กลอนสุนทรพรรณ/บ่งบอกความเฉิดฉันวัฒนธรรม/หกไทยมีภาษาถิ่นที่หลากหลาย/จึงสามารถอภิปรายหลากหลายส่ำ/แต่ก็มีภาษากลางทางลำนำ/ที่บ่งย้ำความกลมเกลียวหนึ่งเดียวกัน/เจ็ดภาษากวีไทยพิไลยิ่ง/อ่านทำนองได้เพราะพริ้งสุดเฉิดฉัน/ร้องลำนำนานาสารพัน/ดั่งสุคันธมาลินประทิ่นพราย/แปดภาษาไทยดีมีคำพ้อง/เขียนอย่างหนึ่งอ่านได้สองต่างความหมาย/เขียนต่างกันอ่านเสียงหนึ่งพึงภิปราย/ความหมายมากหลากหลายเพริศพรายนัก/นี่คือความงดงามสยามพากย์/ซึ่งต่างจากหลากภาษาน่าตระหนัก/ภาษาไทยจึงมีอัจฉริยลักษณ์/เป็นประจักษ์ความงดงามภาษาไทย
แต่ในความงดงามหลากหลายประการนั้น เราก็พบว่าการศึกษาหรือการไม่เอาใจใส่ภาษาให้ดีทำให้คนเราเข้าใจภาษาไขว้เขวได้เหมือนกัน เพื่อคลายเครียดจากสภาพสังคมปัจจุบัน ผู้เขียนขอคัดเรื่อเล่าของพระรูปหนึ่งที่เล่า และส่งต่อๆ กันมาทางจดหมายอีเลคทรอนิคส์ (ELECTRONICS MAIL หรือ อีเมล์ E-Mail) มาเป็นบรรณาการแก่เพื่อนร่วมโลกไซเบอร์ โดยผู้เขียนรู้สึกชื่นชมท่านผู้เล่าได้สนุก แต่มีสาระ จึงกราบขอขอบคุณท่านที่เล่า มา ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง
เรื่องที่หนึ่ง พระนอนไม่หลับ เลยไปหาหมอ เผอิญเป็นหมอที่จบมาจากเมืองนอกใหม่ๆ
หมอ : เป็นอะไรครับ
พระ : จำวัดไม่ได้จ๊ะโยมหมอ
หมอ : (ทำหน้างง) แล้วจะกลับวัดยังไง
พระ : (ทำหน้างงด้วย) มามอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ต้องกลับมอเตอร์ไซค์แหละโยม
อ้าว หมอ : (ทำหน้าง้ง-งงยิ่งขึ้น) แล้วมอเตอร์ไซค์รับจ้างจำวัดได้เหรอ
พระ :(ทำหน้างงๆ ด้วย) มอเตอร์ไซค์รับจ้างจำวัดไม่ได้หรอกโยม มีแต่พระเท่านั้นที่จำวัดได้
หมอ : (ยิ่งทำหน้างง งงๆๆ) อ้าวไหนบอกว่าจำวัดไม่ได้ไง
พระ :!=-+#@%^&*(+๐"ฯ,? (กว่าจะอธิบายว่า จำวัด เป็นคำศัพท์สำหรับพระสงฆ์
แปลว่านอน
หมอจึงถึง บางอ้ออ๋อออออออ...
เรื่องที่สอง ญาติโยมหลายท่านถามพระว่า"ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนักแล้วเอาข้อมูลวัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"
อาตมาก็ตอบว่า หลักๆ เลย ก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็ดูหนัง/ละครที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ พอตอบออกไปอย่างนี้โยมก็สวนกลับทันที "ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน"
อาตมาก็จะอธิบายไปว่าดูเพื่อให้รู้เท่าทันกิเลสไง จะได้สกัดมันถูกและที่สำคัญหากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ตลอดจนไม่รู้เท่าทันเรื่องราวทางโลกจะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึก อิน กันได้อย่างไร ซึ่งนอกจากการอ่านการดู และการฟังแล้ววัตถุดิบหลากหลายที่นำมาสร้างเป็นมุกฮา ก็ได้มาจากการพูดคุยกับเหล่าโยมๆ นี่แหละ
อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร มาว่า "พระอาจารย์เหรอคะนี่อาตมาเองนะคะ" อาตมาก็งงเลยถามไปว่า "หา อะไรนะ" เธอก็โทร ต่อไปว่า "พระอาจารย์เหรอคะนี่อาตมาเองค่ะ" อาตมาก็เลยย้อนไปว่า "ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร" จึงได้ผล "อ๋อ ขอโทษค่ะ" เสียงหัวเราะขันๆ ตามมา
หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า"เจริญพร" โยมก็กล่าวตอบว่า !"ค่ะ เจริญพร
เช่นกัน" แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วยข้างต้นก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยมจนถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับอาตมาไปแล้วหรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่นพอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที"ถวายสังฆทานค่ะ"
ด้วยความที่ พระบวชใหม่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู
"ไม่ต้องค่ะ" โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่นดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ"เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า "อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ" (ที่ถูกต้องจะต้องเป็น ภิกขุ สังโฆ)
พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา"คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆนะหลวงพี่"
อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า"คิกขุ แปลว่า น่ารัก สังโฆแปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก"เท่านั้นแหละพระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย
แต่ก็มีบางกรณีที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก อย่างเมื่อเร็วๆ นี้มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา"หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ" ใช้คำกริยาซ้อนกันทั้งเชิญทั้งนิมนต์เชียว อาตมาก็ถามว่า "นิมนต์ไปไหนล่ะโยม"คุณโยมรีบตอบอย่างคล่องแคล่วว่า
"ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ"
โห นิมนต์พระไป ตาย ถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพก็ไปให้ได้แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม
จากตัวอย่างข้างต้นคุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขันแต่มันก็สะท้อนให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่งปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษ เท่านั้นเช่น งานบวชงานศพ ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนฆราวาสกับพระ จึงสนทนากันไหลลื่นไม่มีคำแปลกๆ หรือคำผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสะดุ้งแต่อย่างใดซึ่งถ้าพูดถึงศัพท์แสงที่แสลงใจแล้วตอนไปบิณฑบาต อาตมาจะเจอบ่อยมาก เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆอยู่ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา "แม่ๆ พระมาขอข้าว"
"มาเยอะไหมลูก"เสียงแม่ถาม ได้ยินเสียงลูกตอบว่า "มา 2 อัน"
โหใช้ลักษณนามอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆ ไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟัง อาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอนเด็กๆ ด้วย
เช่น วันหนึ่งสอนให้จำว่า "ถ้าพระกินเรียกฉัน"/"พระนอน เรียก จำวัด"(บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)/"พระป่วย เรียก อาพาธ"/"พระตายเรียก มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ) แล้วก็ทดสอบความจำไปว่า "แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกอะไรเอ่ย"คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง เด็กๆ ชิงกันตอบเป็นเสียงเดียวว่า "เรียกคนมาดู"
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90097