ชีวิตคือความรื่นรมย์
แววกวี-สตรีสาร และ ธารทอง
หลังจากกลอนชื่อ จะอยู่ไปไย...ถ้า... ได้ลงตีพิมพ์ในสตรีสารแล้ว บทกลอนอื่นๆ ได้รับการตีพิมพ์ต่อๆ มา อีกหลายสำนวน แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่ทำให้คนรู้จักมาก คือ ชิ้นที่ชื่อ เพื่อและจาก...เพื่อนใจ ที่นักกลอนที่โด่งดังอยู่แล้วในยุคนั้น อย่าง เจษฎา วิจิตร (นามแฝงของ วิจิตร ปิ่นจินดา)เขียนถึง และกล่าวถึงในรายการ คนเขียนฝัน รายการแรกที่เขาจัดร่วมกับ รงค์ วิษณุ (นามแฝงของ สมประสงค์ สถาปิตานนท์ หรือ สมประสงค์ ปิ่นจินดา ในกาลต่อมา) ทางสถานีวิทยุ วปถ. 1 ซึ่งออกอากาศในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2505 ตอนหนึ่งว่า"ข้าพเจ้ารู้จักประยอม ซองทองครั้งแรกในหนังสือพิมพ์สตรีสาร และต่อมาได้พบงานของเขาอีก 2-3 ชิ้นด้วยลายมือของเขาที่ส่งมาถึงหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่ข้าพเจ้าประจำและจัดทำคอลัมน์กลอนอยู่ ขณะนั้นเขากำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เข้าใจว่าน่าจะเป็นงานในระยะแรกๆ ของเขา พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าให้ความสนใจในงานของเขาน้อยเต็มที มีความเห็นว่างานของเขายังไม่มีอะไรใหม่ที่เป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง และขาดความซาบซึ้งในสิ่งที่เขากล่าวถึง" ข้าพเจ้าได้พบงานของเขาอีกครั้งจากหนังสือภายในของจุฬา ฯ ระยะนี้งานของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก และแล้วข้าพเจ้าก็ได้พบบทกลอนชิ้นหนึ่งที่เห็นว่าดีเด่นที่สุดเท่าที่เคยอ่านกลอนยุคใหม่ๆ นี้มา ดูเหมือนจะเป็นหนังสือชุมนุมนิสิตหญิง มีงานของประยอม ซองทองชิ้นหนึ่งในชื่อว่า เพื่อและจาก...เพื่อนใจ จากกลอนชิ้นนี้ ข้าพเจ้าไม่ลังเลใจเลยในการที่จะยอมรับว่า ประยอม ซองทองเป็นคนหนึ่งที่เขียนกลอนได้ดีที่สุด และข้าพเจ้าแน่ใจว่า เขาผู้เขียนกลอนชิ้นนี้รู้จักความรักอันแท้จริงแล้ว สิ่งที่เขาพูดไม่เลื่อนลอยและพร่ามัวเหมือนในครั้งก่อนๆ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ผู้ที่จะเขียนกลอนรักได้ดี จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องผ่านสนามรักมาเสียก่อน ประสบการณ์เท่านั้นที่จะสอนให้ ไม่ใช่ตำรา" คงต้องขอยกกลอนที่ เจษฎา วิจิตร คนเขียนกลอนรักที่อ่านกลอนและเขียนกลอนรักมานานพูดถึงไว้อย่างที่เจ้าตัวคนเขียนก็นึกไปไม่ถึง กลอนชิ้นนั้นมีดังนี้ ยินระฆังยามค่ำย่ำโครมครึก ความรู้สึกสับสนปนโศกศัลย์ พิกุลทองพร้องพร่ำร่ำจาบัลย์ รอรับวันเธอเยือนเป็น "เพื่อนใจ" เพื่อนชีวิต... เมื่อโลกมิเช่นนี้อยู่ที่ไหน จะกระเจิงเหลิงหลงกลางพงไพร หรือ "อ้อมใจ" สุขสถิตในนิทรา จะอยู่ไหนขอให้นึกระลึกถึง คนที่ซึ่งห่วงรักเธอหนักหนา แม้ปีกาลผ่านเลือนไม่เคลื่อนคลา รอเธอมาชื่นชมสู้ตรมทน มิ่งมิตรเอ๋ย... แม้ไม่เคยเอ่ยคำรักเลยสักหน แต่แววตาที่กล้าหวังด้วยกังวล นฤมลน่าจะแจ้งจากแรงใจ อย่าลืมร่ม "จามจุรี" ที่เคยนั่ง เทวาลัย ในความหลังยังสดใส สวนอักษร ตอนนี้ไม่มีใคร คอย เพื่อนใจ กลับไปเยือนเหมือนอย่างเคย ชงโคบานข้างบันไดปีใหม่นี้ ใครจะชี้ชวนชิดเล่ามิตรเอ๋ย ใครคนอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเลย รอรักเชยชื่นจิตนิจนิรันดร์ รงค์ วิษณุ และ เจษฎา วิจิตร พูดต่อไปอีกว่า ทุกครั้งที่อ่านอดใจหายไม่ได้สักที คำของเขาบีบหัวใจทุกครั้ง อดที่จะหวั่นไหวไปกับอารมณ์และคำร้องของเขาไม่ได้ จะอยู่ไหนขอให้นึกระลึกถึง คนที่ซึ่งห่วงรักเธอหนักหนา แม้ปีกาลผ่านเลือนไม่เคลื่อนคลา รอเธอมาชื่นชมสู้ตรมทน "ที่ข้าพเจ้าคิดว่ากลอนชิ้นนี้เป็นกลอนที่ดีที่สุดเท่าที่อ่าน ไม่ผิดความจริงเลย เพราะเมื่อกลอนชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร เพื่อนบ้าน ข้าพเจ้าได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เข้าหูหลายเสียงด้วยกัน บทกลอนน้อยชิ้นนักที่จะได้รับกล่าวขวัญถึงขนาดนี้ สิ่งนี้แหละที่คนเขียนกลอนเราต้องการยิ่งกว่าค่าตอบแทนเป็นเงิน" นั่นคือ ตอนหนึ่งที่นักเขียนนักอ่านกลอนรักมานานพูดถึงข้าพเจ้าในฐานะนักกลอนหน้าใหม่ ในครั้งกระโน้น คงต้องเท้าความว่าทำไมกลอนนี้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร 2 ครั้ง (ส่วนที่ลงพิมพ์ในหนังสือชุมนุมนิสิตหญิงของสโมสรนิสิตจุฬา ฯ (สจม.) นั้น เป็นหนังสือภายในมหาวิทยาลัย และในฐานะคนทำหน้าที่บรรณาธิการให้ชุมนุม ฯ เพราะนายกชุมนุม ฯ เป็นเพื่อนรักคนหนึ่งซึ่งอยู่คณะและชั้นเดียวกัน) เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าส่งกลอนไปที่สตรีสารแล้ว (สมัยโน้น สตรีสารเป็นรายปักษ์) นักกลอนใหม่นั้น ยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวในวงการ โดยเฉพาะมารยาทในการส่งงานไปให้บรรณาธิการพิจารณา และการสื่อสารสมัยก่อนไม่ได้สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ยิ่งบรรณาธิการที่เป็นผู้ใหญ่ นักกลอนใหม่ๆ ยิ่งเกรง (กลัว) ไม่กล้าไปถามถึง เมื่อส่งไปแล้วก็ต้องคอยดูว่ากลอนจะได้ลงหรือไม่ พอดีตอนนั้น มีนิตยสารรายสัปดาห์ออกใหม่ชื่อ เพื่อนบ้าน มี สาทิส อินทรกำแหง เป็นบรรณาธิการ สำราญ ทรัพย์นิรันดร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ ซึ่งพอจะรู้จักกันมาบ้าง จากที่ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงบรรณาธิการ (สาทิส อินทรกำแหง)และสำราญตอนอยู่ กะดึงทอง รายเดือนมาก่อน สำราญบอกว่า "ตอนนี้ประยอมมีกลอนอยู่ในมือไหม เพื่อนบ้านออกใหม่ยังไม่ค่อยมีกลอน ถ้ามีรีบส่งให้ผมด้วย" ข้าพเจ้าเห็นว่ากลอนที่ส่งไปสตรีสารนานแล้ว และคิดเอาเองว่าคงไม่ได้ลง เหมือนหลายชิ้นที่ไม่ได้ลงพิมพ์ จึงส่งไปให้สำราญที่ เพื่อนบ้าน ปรากฏว่า พอเพื่อนบ้านออกฉบับที่ 2 มีกลอนของข้าพเจ้าลงพิมพ์ และ "สตรีสาร ก็ลงพิมพ์กลอนชิ้นนั้นในเวลาใกล้เคียงกัน ข้าพเจ้าไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่ทั้งสองแห่งก็ไม่รู้ว่ากลอนชิ้นนั้นถูกตีพิมพ์ซ้ำกัน แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดียิ่ง ทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้าทำเช่นนั้นอีกในกาลต่อมา ต้องบันทึกไว้ด้วยว่า กลอนบทนี้ กลายเป็นเสมือนตำนานกลอนรักชิ้นหนึ่งที่ชาวอักษรศาสตร์และนักกลอนชาวจุฬา ฯ ยุคนั้นท่องกันได้ทั่วไป ไม่ว่า มิ่งมิตรเอ๋ย...แม้ไม่เคยเอ่ยคำรักเลยสักหน แต่แววตาที่กล้าหวังด้วยกังวล นฤมนน่าจะแจ้งจากแรงใจ หรือ อย่าลืมร่มจามจุรีที่เคยนั่ง เทวาลัยในความหลังยังสดใส สวนอักษรตอนนี้ไม่มีใคร คอยเพื่อนใจกลับไปเยือนเหมือนอย่างเคย หรือ วรรคที่ว่า ชงโคบานข้างบันไดปีใหม่นี้ ใครจะชี้ชวนชิดเล่ามิตรเอ๋ย ล้วนเป็นภาพแห่งความทรงจำอันล้ำลึกผนึกแน่นกลางแก่นใจของหนุ่มสาวต่อๆ มา ข้าพเจ้าลองนับดูว่า ในช่วง 3 ปีที่เรียนอยู่ในคณะอักษรศาสตร์ปีที่ 1-3 นั้น ข้าพเจ้ามีกลอนที่ได้รับการพิจารณาลงตีพิมพ์ในสตรีสารหลายชิ้นพอควร แม้ว่าค่ากลอนสมัยนั้นจะไม่แพงนัก แต่สำหรับนิสิตซึ่งไม่มีรายได้ประจำ ก็พอช่วยชีวิตทำให้นิสิตคนหนึ่งมีค่ารถเมล์และอาหารกลางวันได้บ้าง ความทรงจำล้ำลึกต่อบรรณาธิการที่ให้ที่เกิดและที่ยืนในวงวรรณศิลป์ต่อมา ไม่เคยเลือนจากใจไปได้เลยแม้แต่น้อย นับแต่ ปี 2499 มาจนบัดนี้ ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าอยู่ชั้นปีที่ 4 เพื่อนร่วมชั้นอักษรศาสตร์ปีเดียวกัน (ที่มีคอลัมน์กิจกรรมสำหรับผู้เยาว์ที่ดรุณสาร) ก็มาบอกว่า อาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง อยากพบ เมื่อได้ไปพบอาจารย์ ท่านก็บอกว่า เห็นข้าพเจ้าเขียนกลอนลงสตรีสารมานานพอสมควร แสดงว่าพอจะพิจารณาได้ว่าบทกลอน ที่เป็นนักเรียนนักศึกษา ซึ่งที่เป็นนักกลอนหน้าใหม่ส่งมาให้พิจารณานำลงในคอลัมน์ แววกวีของ ดรุณสาร (ซึ่งเป็นภาคเยาวชนแทรกอยู่ในสตรีสาร) ถ้าดีพอจะลงได้ก็แยกเข้าแฟ้มไว้ตามลำดับก่อนหลัง ถ้าเห็นว่ามีบางคำที่เขียนสะกดการันต์ผิดก็แก้ให้ถูกต้อง ถ้าเห็นว่าสำนวนและเนื้อหา เกือบใช้ได้พอแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ หรือเห็นว่ายังบกพร่องควรให้เจ้าของแก้ไข ก็ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องแล้วส่งไปให้เจ้าหน้าที่กองบก. (ไม่ทราบว่าเป็นพี่ปรีดา หนุนภักดี หรือพี่คณิตา เลขะกุล ฯลฯ) ส่งคืนไปให้เจ้าของกลอนแก้ไขมาใหม่ เผื่อจะใช้ได้และนำลงต่อไป ขณะเดียวกัน อาจารย์ก็แนะนำให้ข้าพเจ้าเขียนข้อแนะนำการเขียนบทกลอนอย่างง่ายๆ ลงพิมพ์ด้วย ข้าพเจ้านึกได้ในกาลต่อมาว่า นี่คงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่อาจารย์สอนงานให้แก่พวกเรา ผ่านชมรมเด็กที่อาจารย์ตั้งให้พวกเรามาพบปะทำกิจกรรมต่างๆในนาม สโมสรปรียา ซึ่งเพื่อนๆ ที่เคยผ่านสโมสรนี้ มีชื่อเสียงกันต่อมา เช่น ธานี แม้นญาติ โอภาส เสวิกุล ศุภชัย ราชพิตร นิธิศักดิ์ ราชพิตร พิศิษฐ์ พิศิษฐากร อนุวิทย์ เจริญศุภกุล พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร และชื่อที่ติดอยู่ริมฝีปากอีกหลายคน หากนึกชื่อไม่ออกเพราะมันผ่านมากว่า 50 ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าใช้นามปากกา ธารทอง ในการดูแลคอลัมน์และเขียนคำแนะนำในคอลัมน์ แววกวี ถึงวันนี้ยังมีเพื่อนรุ่นน้อง เช่น ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร นิภา บางยี่ขัน รังษี บางยี่ขัน สุรินทร์ ประสพพฤกษ์ เป็นต้น มาเปิดเผยเหตุการณ์ครั้งกระโน้นและเรียกพี่ ธารทอง ด้วยความรักใคร่นับถือสนิทสนมกันตลอดมา
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/89678