ร่มไม้ชายศาล
ลูกชาย "ซิ่ง"...ซวย
ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนรวม 7 วัน (วันที่ 27 ธค. 55-2 มค. 56) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,176 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 365 คน ผู้บาดเจ็บ3,329คน เทียบกับปี 2555 มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 29 คนจังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุตลอดช่วง 7 วัน ได้แก่ ตราด จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตตลอดช่วง 7 วัน รวม 6 จังหวัด ได้แก่ ตราด นครนายก พังงา ระนอง หนองคาย และอุตรดิตถ์ จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 144 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครปฐม 18 คน ขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับจังหวัดตราด หนึ่งเดียวที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ และชื่นชมกับจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในคราวนี้เลย รวม ๖ จังหวัดดังกล่าวแล้ว นั่นคงไม่ใช่โชคช่วยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการใช้รถอย่างมีสติ ไม่คึกคะนอง ไม่ประมาท จึงไม่เกิดการสูญเสียชีวิตที่ทุกคนต่างหวงแหน สำหรับชีวิตที่ปลิดปลงไป 365 คน ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะแต่ละคนแต่ละครอบครัว ไม่ได้ปรารถนาให้เกิดการสูญเสียพลัดพราก โดยไม่มีวันได้พบกันอีก และถ้าเฉลี่ยความสูงของแต่ละคนประมาณ 1.65 เมตร นำมาเรียงต่อกันได้ความยาวถึง 700 เมตร นั่นเทียว ไม่ใช่น้อยเลย ที่น่าสังเกต คือ ครบ 365 คน เท่ากับจำนวนวันของปีพอดิบพอดี ไม่ขาดไม่เกิน ขอให้ปีต่อไปจำนวนผู้ที่ได้รับเคราะห์กรรมลดน้อยลง หรือไม่มีเลย ยิ่งดี สิ่งที่เป็นจุดจบของอุบัติเหตุเท่าที่เล็งดูจากข่าว คือ ต้นไม้ กับ เสาไฟฟ้า ซึ่งเป็นของแข็ง แต่ละรายรถพังยับเป็นเศษเหล็ก ชนิดเอาคืนไม่ได้ ถ้าจะบอกว่ารถยนต์ที่ขายในบ้านเรา ดูดซับแรงกระแทก ได้เกินเป้า ก็น่าจะใช่ ส่งผลให้ ถุงลมนิรภัยเอย เข็มขัดนิรภัยเอย หมดความหมาย ไม่ทราบว่ารถขายฝั่งอื่นของโลก เขาเป็นอย่างเราหรือไม่ รถกระบะยี่ห้อหนึ่งก็ขาประจำในการพาคนไปตาย และเป็นแหนมป้าย่นอยู่เสมอ ขอให้รัฐหรือองค์กรที่ควบคุมความปลอดภัย หรือคุ้มครองผู้บริโภค ดูบ้างก็น่าจะดี คดีความต้องมีเช่นเคย หยิบยกคดีอุบัติเหตุทางรถให้สอดคล้องกับข้อมูลข้างต้นก็แล้วกัน เรื่องราวไปกองอยู่ที่ศาล เพราะ นายขั้นเทพ หนุ่มน้อยเมืองกรุง ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ควบรถเก๋งแซงรถโดยสารโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือไม่ก็เชื่อพลังของรถว่าแรงสะใจ ผลคือไปจะเอ๋กับรถบรรทุกสิบล้อที่แล่นสวนทางมา หลบไม่พ้น ซัดโครมเข้าให้ นายขั้นเทพ กลายเป็นผีคารถ ที่ตามมา คือ รถบรรทุกเสียหลัก ไปปะทะกับรถโดยสารที่โดนรถเก๋งแซงมาหยกๆ มีผู้บาดเจ็บสาหัส 3 ราย เกิดเรื่องแล้วทุกคนฉากหลบ แม้กระทั่งบริษัทซึ่งรับประกันรถบรรทุก ศาลท่ายนอนอยู่ในมุ้งที่บ้านเลยงานเข้า เมื่อเจ้าของรถโดยสาร และผู้โดยสาร 3 ราย ที่บาดเจ็บ ต่างตั้งตัวเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายขนทอง เจ้าของรถบรรทุก และฟ้อง นายเข้าขั้น พ่อของ นายขั้นเทพ ให้ร่วมกันรับผิด จ่ายเงินอื้อ บริษัทประกันก็โดนเจ้าของรถบรรทุก คือ นายขนทอง ขอให้ศาลลากมาเป็นจำเลยร่วม จำเลยพากันจ้างทนายสู้คดี ทนายยกข้ออ้างตามสติปัญญามายัน ขอให้ยกฟ้องกราวรูด โจทก์ลงจากศาลแบบมือเปล่าไปเลย ระหว่างสู้คดี นายเข้าขั้น ถึงอายุขัย หรือกลุ้มใจเพราะโดน 2 เด้ง ลูกชายตายไปทั้งคน เจอคดีอีกต่างหาก จึงขี้เกียจอยู่ดูโลกที่ยุ่งเหยิง เป็นเหตุให้ นางขั้นเพชร ภรรยาหรือมารดาของ นายขั้นเทพ โดนต้อนเข้ามาเป็นจำเลยแทนที่ในฐานะทายาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้ นายขนทอง เจ้าของรถบรรทุกสิบล้อ ซึ่งประมาทเหมือนกัน แต่น้อยกว่ารถเก๋ง จ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งหมด เฉลี่ยไปตามความหนักเบา โดยมีบริษัทประกันที่รับประกันภัยรถบรรทุกร่วมจ่ายด้วยตามวงเงินประกัน ขณะที่ฝ่ายรถเก๋งโดย นางขั้นเพชร ก็โดนศาลชั้นต้นตัดสินให้จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งหมดเป็นรายๆ ไป รวมแล้วล้านกว่าบาท ลดจากที่มีการเรียกร้องตั้งครึ่งแล้วนะนั่น บริษัทประกันซึ่งเป็นจำเลยร่วม ไม่เห็นด้วยในการที่ศาลชี้ว่ารถบรรทุกประมาทด้วย จึงยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เพ่งดูแต่สำนวน ไม่ต้องเจอหน้าใครให้รำคาญ แล้วพิพากษาแก้ บังคับให้ นางขั้นเพชร ในฐานะทายาท จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งหมด 4 ราย รวมแล้วเท่าๆ เดิม เป็นเงิน 1 ล้านกว่าบาท แถมยังต้องจ่ายให้บริษัทประกันอีก 2 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย โจทก์ คือ เจ้าของรถโดยสาร และผู้ที่โดยสารอยู่ในรถที่บาดเจ็บสาหัส 3 ราย พากันยื่นฎีกาโดยมีผู้พิพากษาให้ไฟเขียว เซ็นอนุญาตให้เล่นเกมยาว ศาลฎีกาหาวเรอ เพราะคดีไม่จบ กัดฟันคว้าสำนวนที่มาถึงคิว อ่านจนทะลุปรุโปร่ง แม้จะเพลียกายเพลียใจก็ต้องทำ แล้วชี้ขาดออกมาว่า การที่บริษัทประกันจำเลยร่วมอุทธรณ์ว่า นายขั้นเทพ คนขับรถเก๋งประมาทฝ่ายเดียว เป็นการโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้น ที่เห็นว่าคนขับรถบรรทุกมีส่วนประมาทด้วย เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่ถึงเกณฑ์ จึงต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยร่วมในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์คนอื่นๆ ด้วย จึงไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของคนอื่นๆ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบไปด้วย ไม่มีสิทธิฎีกา แม้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นเซ็นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับพิจารณาได้ และศาลฎีกาขอแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ถูกต้อง คือ รถบรรทุกเสียหลักไปชนรถโดยสาร เป็นผลงานของ นายขั้นเทพ ผู้ตายที่ขับรถเก๋งล้ำเส้นกึ่งกลางทางเดินรถ เข้าไปชนรถยนต์บรรทุกก่อน รถบรรทุกจึงไม่ประมาท ไม่ได้เป็นเพราะขับเร็วสูง หรือบรรทุกน้ำหนักเกินดังที่ศาลล่างว่ามา ที่สำคัญ คือ ศาลฎีกาแทงต่อไปว่า โจทก์พากันเขียนฟ้อง ให้ นายเข้าขั้น พ่อของ นายขั้นเทพ ในฐานะเจ้าของผู้ครอบครองรถเก๋งรับผิด ฐานเป็นตัวการร่วมกับ นายขั้นเทพ ผู้ตายซึ่งเป็นบุตรและเป็นตัวแทนขับรถไปตามคำสั่งของ นายเข้าขั้น ไม่ยักเขียนฟ้องให้ นายเข้าขั้น รับผิดในฐานะ "ทายาทโดยธรรม แม้โจทก์จะขอแก้ไขคำฟ้องระบุชื่อ นายเข้าขั้น ในฐานะส่วนตัวและในฐานะทายาทของ นายขั้นเทพ แต่ในคำฟ้องก็ไม่ได้ขอให้รับผิดในฐานะทายาทด้วย การที่ศาลล่างตัดสินให้นายเข้าขั้นโดย นางขั้นเพชร ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน รับผิดต่อโจทก์ทั้งหมดในฐานะทายาทโดยธรรมของ นายขั้นเทพ จึงพิพากษาเกินกว่าที่กล่าวมาในคำฟ้อง เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบ ร้อยของประชาชน แม้นายเข้าขั้น ซึ่งตายตามลูกชายไปแล้วไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาจึงยอมโป๊ตอนแก่ พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องคดีสำหรับ นางขั้นเพชร ไม่ต้องจ่ายเงินให้ใครทั้งนั้น เพราะโจทก์เขียนคำฟ้องมาผิดๆ นางขั้นเพชร รอดตัวอย่างเหลือเชื่อ ตกหนักอยู่ที่ฝ่ายรถบรรทุกและบริษัทประกัน ต้องรับผิดต่อรถโดยสารบ้างตามสมควร เพราะรถบรรทุกมีส่วนประมาทด้วย ผลพวงจากคดีนี้ชี้ให้เห็นว่าการแซงรถส่งเดช เกิดเหตุแล้วโดน กรณีที่เป็นผู้เยาว์ พ่อแม่ลำบากไปด้วย ส่วนการฟ้องร้องก็ต้องอาศัยฝีมือทนายเหมือนกัน เขียนฟ้องผิดพลาด เจ้าของคดีที่ว่าจ้างซวย ไม่ได้อะไรเลย แถมค่าจ้างทนายก็มักจะลอดแข้งลอดขา เอาคืนไม่ได้สักบาท เหนื่อยใจแค่ไหนลองคิดดู ถ้าท่านเป็นเจ้าของรถโดยสารและผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะความห้าวแต่มือไม่ถึงของไอ้หนุ่มคนขับรถเก๋ง เพราะฝีมือของทนาย หาวเรอไม่หยุดก็แล้วกัน./ จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4917-4918/2549๒๕๔๙
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/89675