รู้ไว้ใช่ว่า
เกาะที่ไม่ควรข้าม
เมื่อเอ่ยถึง "เกาะ" เรารู้สึกชื่นมื่น นึกถึงการท่องเที่ยวไปยังเกาะแก่งต่างๆ ประเทศไทยขายได้เพราะเกาะที่ขึ้นชื่อ ชาวต่างชาติฝันจะมาเที่ยวเมืองไทยจำนวนไม่น้อย ในแม่น้ำบางสายก็มีเกาะ เช่น แม่น้ำโขง ทั้งชนิดถาวร และชนิดตามดูกาล น้ำเยอะเกาะก็หายไป น้ำแห้งเกาะก็โผล่ บางเกาะอยู่ห่างฝั่งไทยไม่กี่เมตร ว่ายน้ำข้ามไปได้สบาย บางเกาะก็ห่างเยอะ
ที่น่าเจ็บใจ คือ ฝรั่งเศสเป็นตัวตั้งตัวตีในอดีต บีบคอไทยให้ยอมรับข้อตกลงว่า เกาะแก่งทุกเกาะในแม่น้ำโขง เป็นของประเทศลาว อย่างที่บอกเกาะอยู่ห่างฝั่งไทยแค่คืบ ก็เป็นของลาวไปซะฉิบ แถมแก้ไขอะไรไม่ได้ เป็นยังงี้จนกว่าจะโลกแตกโน่นแหละ
เกาะอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ในน้ำ แต่เราก็เรียกเกาะ อยู่บนถนนหลวงสายต่างๆทั่วประเทศ อันที่จริง คือ เครื่องกั้นช่องจราจร ซึ่งมีความสูงจากพื้นพอประมาณ ตามปกติยกขอบด้วยคอนกรีท ตรงกลางเป็นดินจะปลูกหญ้าปลูกต้นไม้หรือไม่ก็ตามแต่ เพื่อไม่ให้รถข้ามไปหากันได้ ยกเว้นตรงช่องที่เปิดไว้ คนไทยเรียกง่ายๆ เข้าใจกันดีว่า "เกาะกลางถนน"
เกาะชนิดนี้คนอาจข้ามไปมาได้ แต่ไม่ควรขับรถข้ามเกาะเป็นอันขาด อันตราย เพราะรถข้ามเกาะได้ต้องปีน เหิน หรือบิน แล้วควบคุมทิศทางไม่ได้ แถมยังตัดเฉียงเข้าไปยังถนนฝั่งตรงกันข้าม จึงตกเป็นเป้า หรือเอารถอื่นเป็นเป้าได้ง่าย คนในรถไม่ตายก็คางเหลือง พูดตามตรง เวลาขับรถผมกลัวรถคันอื่นข้ามเกาะนี่แหละ ขอบอก
มาดูคดีนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับรถข้ามเกาะ แล้วศาลต้องสวมเสื้อครุยออกเหงื่อตัดสินคดีจนได้
"นางรชณีย์ตรีรัตน์" ชื่อคนไทยยุคนี้แหละครับ เอาอักษรต่างๆ มาปนเปเข้าไป ผมละงงเต็มประดา ทำไมถึงตั้งชื่อพิสดารมากขึ้นทุกที ช่างเป็นไปได้ เธอเป็นเจ้าของรถกระบะที่เหินข้ามเกาะ ไปปะทะรถยนต์อื่น 2 คันรวด ทำให้ "นายชายแท้" กับ "นางดิฉัน" เจ้าของรถเดือดร้อนเพราะรถเสียหาย
รถกระบะทำประกันชั้นหนึ่ง แต่ "บริษัท รับหน้าเสื่อประกันภัย จำกัด" ชื่อน่าฟังไม่ยักรับผิดชอบ ผลสุด ท้าย นางรชณีย์ตรีรัตน์ ต้องพึ่งศาล ให้ทนายยื่นฟ้อง เรียกค่าเสียหายต่างๆ ทั้งที่เกิดกับรถของตนเอง และของคนอื่น 8 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลย คือ รับหน้าเสื่อประกันภัย ฯ สู้คดี อ้างนั่นอ้างนี่ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าสัญญาประกันมัดคอ จึงตัดสินให้บริษัทประกันจ่าย 8 แสนกว่าบาท และบังคับให้จ่ายดอกเบี้ยอัตราสูง คือ ร้อยละ 15 ต่อปี เพราะศาลมองว่าบริษัทประกันยึกยัก ดึงเกมตั้งป้อมสู้คดีโดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งๆ ที่โจทก์เรียกไว้แค่ร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี
จำเลย คือ บริษัทประกันบอกว่ารับหน้าเสื่อไม่ไหว จึงยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องเช่นเดิม
ศาลอุทธรณ์นั่งอ่าน เมื่อยก็นอนอ่านสำนวนคดีนี้ เพราะไม่ต้องออกนั่งบัลลังก์เหมือนศาลชั้นต้น แล้วพิพากษายืน
เรื่องยาวถึงศาลฎีกา เพราะบริษัทรับหน้าเสื่อประกันภัยดิ้นจนถึงที่สุด อ้างด้วยว่าเจ้าของรถกระบะยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ นายชายแท้ กับนางดิฉัน ตามที่ต้องรับผิด ในเมื่อรถกระบะข้ามเกาะไปชนรถของเขา แล้วจะมาฟ้องบีบบังคับให้บริษัทประกันจ่ายเต็มได้ยังไง และเถียงแง่อื่นๆ ด้วย
ศาลฎีกาซึ่งทำคดีมาจนผมหงอก ทั้งเซ็งทั้งจำเจ คดีก็แยะ แต่หลบเลี่ยงไม่ได้ กัดฟันคว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว พิจารณาและชี้ขาดออกมาดังนี้
นางรชณีย์ตรีรัตน์ ฟ้องเรียกค่าสินเสียหายจาก รับหน้าเสื่อประกันภัย ฯ ตามสัญญาประกันภัยในกรณีที่เธอจะต้องรับผิด เมื่อความเสียหายเกิดกับรถของ นายชายแท้ และนางดิฉัน เนื่องจากรถกระบะที่เธอทำประกันภัยไว้ไปเฉี่ยวชนรถของ นายชายแท้ กับนางดิฉัน โดยละเมิด นางรชณีย์ตรีรัตน์ จึงมีสิทธิ์ฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ในนามของตน จากบริษัทประกันภัย ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 887 ส่วน นางรชณีย์ตรีรัตน์ จะจ่ายค่าเสียหายให้ นายชายแท้ กับนางดิฉัน หรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะไม่ใช่กรณีรับช่วงสิทธิ์ พูดง่ายๆ คือ เมื่อบริษัทประกันจ่ายไปแล้วในคดีนี้ ถือว่าทำตามสัญญาประกันแล้ว ก็หมดความรับผิดชอบต่อความเสียหายของ นายชายแท้ กับนางดิฉัน นั่นเอง
ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า ต้องเช่ารถมาใช้แทนรถกระบะตั้ง 9 เดือน แต่มีใบเสร็จมายันแค่ไม่ถึง 3 เดือน ศาลให้ตามที่มีใบเสร็จเท่านั้น
เรื่องดอกเบี้ย ศาลฎีกาบอกว่า บริษัทประกันเขาสู้คดี อ้างว่า นางรชณีย์ตรีรัตน์ ไม่ได้ขับรถกระบะที่เกิดเหตุเอง คนขับไม่มีใบอนุญาต บริษัทจึงไม่ต้องรับผิด เป็นการสู้ความโดยมีเหตุสมควร จึงให้จ่ายดอกเบี้ยแค่ร้อยละ 7 ครึ่ง ตามที่โจทก์ขอมาก็พอ
สรุปแล้วศาลฎีกาพิพากษาแก้ในเรื่องดอกเบี้ย และค่าเสียหายลดลงมาเหลือ 7 แสนบาทเศษๆ
ครับเรื่องดอกเบี้ยกฎหมายให้เข่นบริษัทประกันที่ยึกยักสู้คดีแบบมั่วๆ ตั้งท่าชักดาบยันป้าย ในอัตราสูงสุด คือ ร้อยละ 15 ต่อปี แม้โจทก์เรียกร้องมาน้อยกว่านั้น
ก็คงต้องบันยะบันยังกันบ้างนะครับ รถทุกวันนี้เครื่องเคราแต่ละคัน "ซิ่ง" ได้ทั้งนั้น แต่จะเอาอยู่หรือไม่ เป็นปัญหาใหญ่ พลาดขึ้นมา ดันเหินข้ามเกาะ เรื่องมันเศร้า ขอบอก
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6277/2550
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า