รู้ลึกเรื่องรถ
ยิ่งเหยียบ ยิ่งแย่ !
เคยเห็นป้ายนี้กันบ้างไหมครับ ? เป็นป้ายเตือนแกมขอร้องว่าอย่าขับให้เร็วนัก เพราะยิ่งขับเร็ว ก็จะยิ่งสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รู้สึกว่าเป็นป้ายที่จัดการโดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งผมอ่านไม่ทันเพราะตัวหนังสือค่อนข้างเล็ก เป็นป้ายที่ทำได้ดีมาก เป็น 4 พยางค์ที่ใช้ ย. ยักษ์ล้วน และตรงความหมายที่สุด แต่ผมก็ยังเชื่อว่ามีผู้ขับรถจำนวนไม่น้อย ยังไม่เข้าใจ หรือไม่ก็ไม่ต้องการเข้าใจ "ยิ่งเหยียบ ยิ่งแย่" ใครแย่กันแน่ ? ชาติไทย หรือชาติเราไงครับที่แย่ ส่วนชาติที่ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้ประเทศเรา เขาย่อมบอกว่า ยิ่ง (เรา) เหยียบ (เขา) ยิ่งดี หรือยิ่งรวย นั่งดูพวกไม่มีสำนึกรักชาติ ปลูกข้าว ปลูกมัน ขายแรงงาน ขายตัว เอาเงินมาซื้อน้ำมันดิบไปเติมรถ ที่ต้องขายคันเก่าแล้วซื้อใหม่ทุกๆ 3 ปี เพราะขี้เกียจซ่อม (นี่ก็เป็นการผลาญเงินเพราะขาดความเข้าใจอีกเรื่องหนึ่ง)
หมดยุคของการคิดแต่ว่า "มีเงินเสียอย่าง จะทำอะไรก็ได้" ไปนานแล้วครับ เราไม่มีสิทธิ์คิดเพียงว่า หาเงินได้วันละหมื่น เติมน้ำมันรถครั้งละพันจะเป็นอะไรไป ต้องมองชาติแบบองค์รวมที่เรามีส่วนรวม เชื่อไหมครับว่าในประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย ใครซื้อรถคันใหญ่มาใช้โดยไม่มีความจำเป็น จะถูกเพื่อนบ้านเพื่อนร่วมงานมองอย่างสมเพช ผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่หรูหรา ก็ยังต้องหาทางพัฒนาปรับปรุงให้กินน้ำมันน้อยที่สุด มิฉะนั้นจะขายไม่ออก ทั้งๆ ที่ลูกค้าของเขาก็มีเงินเหลือเฟือ แต่เขาเป็นพวกที่มีสำนึกครับ รถสปอร์ทอย่าง โพร์เช คาร์เรรา 2 และ 4 ที่ขายดีนั้น ก็เพราะไว้วางใจได้ และกินน้ำมันน้อยมากเมื่อเทียบกับสมรรถนะและน้ำหนักรถ
"ยิ่งเหยียบ ยิ่งแย่" เป็นการเปรียบเทียบ ซึ่งต้องการการแปลอีกต่อหนึ่ง บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องของโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ ที่จริงแล้วเขาต้องการเตือนว่า ยิ่งขับเร็ว ก็จะยิ่งเปลืองน้ำมัน และเปลืองเงินด้วย เป็นเงินของเรา และเงินของชาติเราที่จะต้องรั่วไหลออกนอกประเทศนั่นเอง มาดูสาเหตุทางเทคนิคกันดีกว่าครับ
เครื่องยนต์ในรถของพวกเรานั้น ที่จริงก็คือ เครื่องมือสำหรับแปลงพลังงานในเชื้อเพลิงให้กลายเป็นพลังงานมาขับเคลื่อนรถของเรานั่นเอง เชื้อเพลิงที่ถูกกลั่นจากน้ำมันดิบ ไม่ว่าจะเป็นเบนซินหรือดีเซลก็ตาม ยังคงมีพลังงานอยู่ในตัวหรือใน "เนื้อ" ของมันอยู่มากมาย เป็นพลังงานเคมี ที่เราต้องแปลงรูปให้มันกลายเป็นพลังงานความร้อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการลุกไหม้ ถ้าเป็นเครื่องยนต์เบนซินก็ต้องอาศัยประกายไฟที่เขี้ยวหัวเทียน ช่วยจุดไอเบนซินที่ผสมกับอากาศ (เรียกกันว่าไอดี) ให้ติดไฟ ถ้าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ก็ใช้การอัดอากาศให้มีปริมาตรลดลงมากๆ จนร้อนจัด แล้วฉีดน้ำมันดีเซลออกมา เพื่อให้มันถูกความร้อนนี้จนระเหยและลุกไหม้ขึ้น ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้ความดันของแกสในกระบอกสูบสูงขึ้น แล้วดันให้ลูกสูบเคลื่อนที่ ส่งแรงผ่านก้านสูบไปผลักข้อเหวี่ยงของเพลาข้อเหวี่ยง ให้หมุนได้อย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนนี้ก็คือการแปลงพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล ออกมาทางเพลาของเครื่องยนต์นั่นเอง จากนั้นจะให้มันทำงานอะไรให้เรา ก็เป็นเรื่องของเราแล้วครับ จะเอาไปยกของ ขับเคลื่อนรถ หมุนใบพัดเรือ "ปั่นไฟ" ฯลฯ
ถ้าพลังงานในเชื้อเพลิงมีอยู่ 100 ส่วน พลังงานที่ได้จากเพลาของเครื่องยนต์ จะเหลือราวๆ 30 ส่วนหรือ 1 ใน 3 เท่านั้น นอกนั้นสูญเสียไปในรูปความร้อนหมด เป็นความร้อนที่กระบอกสูบคายให้แก่น้ำหล่อเย็นแล้วไปคายทิ้งให้อากาศภายนอกที่รังผึ้งหม้อน้ำอีกต่อหนึ่ง อีกส่วนเป็นความร้อนของไอเสีย ที่คายให้แก่ผนังท่อไอเสีย แล้วก็คายให้แก่อากาศภายนอกอีกต่อหนึ่ง ที่เหลือในไอเสียที่ปลายท่อ ก็ถูกปล่อยความร้อนออกมาผสมกับอากาศท้ายรถ ส่วนสุดท้ายไม่มากนัก สูญไปกับความฝืดหรือแรงเสียดทานของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ ตัวการใหญ่ คือ แหวนลูกสูบ ซึ่งต้องครูดกับผนังกระบอกสูบตลอดเวลา นอกนั้นจากทุกส่วนที่มีการเสียดสีกัน แม้ว่าจะมีน้ำมันหล่อลื่นคั่นอยู่ก็ตาม บรรดาแรงเสียดทานทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ก็กลายเป็นความร้อนในที่สุด
สรุปแล้ว 2 ใน 3 ส่วนของพลังงานในเชื้อเพลิงที่เราเติมรถของเรา และสูญเสียไปในรูปของความร้อนนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ ผู้ผลิตเครื่องยนต์เขาก็พยายามลดส่วนนี้กันมาตลอดเวลา 100 ปีที่ผ่านมา เช่นทำให้มันลื่นขึ้น เอาเป็นว่า 2 ใน 3 ส่วนของพลังงานที่ต้องเสียไปนี้เป็นเรื่อง "ช่วยไม่ได้" หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ 1 ใน 3 ที่ออกมาให้เราใช้งานโดยเพลาของเครื่องยนต์นั้น เราต้องหาวิธีใช้ให้คุ้มค่าครับ
คราวนี้เรามาดูพลังงานที่เครื่องยนต์ให้เรานำไปใช้งานตามใจชอบจากเพลาข้อเหวี่ยง นับให้เต็มเป็น100 ส่วน แล้วดูว่ามันถูกแบ่งไปใช้ที่ไหนบ้างขณะที่เราขับรถ ส่วนหนึ่งสูญไปกับแรงเสียดทานของการเสียดสีของเพลากับแบริงและฟันเฟืองในห้องเกียร์ และเฟืองท้าย (ถ้าเป็นรถเครื่องหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง) อีกเล็กน้อยเป็นแรงเสียดทานที่ลูกปืนล้อและซีล จากนั้นเป็นแรงเสียดทานของยางขณะที่ล้อกลิ้งไปกับผิวถนนครับ
บางคนอาจงงว่า กลิ้งบนถนนเรียบ มันจะมีแรงเสียดทานได้อย่างไร ไม่เห็นมีอะไรเสียดสีกัน เป็นแรงต้านที่เกิดจากการบิดตัวของเนื้อยางและโครงสร้าง คือส่วนที่อยู่ต่ำสุดที่เราเห็นแก้มยางป่องออกมานั่นแหละครับ แรงเสียดทานนี้ก็กลายมาเป็นความร้อนในเนื้อยางในที่สุด ถ้าขับเร็วเป็นเวลานานโดยไม่เบรคเลย ลองปล่อยรถไหลจนหยุดแล้วลงมาจับยางดูได้ครับ จะเห็นว่ายางร้อนพอสมควร (ลองตอนกลางคืนที่ผิวถนนเย็นแล้ว) ความร้อนนี้เกิดจากการบิดตัวทุกๆ จุดรอบละครั้งที่ล้อกลิ้งนี่เอง
ทั้งหมดที่ว่านี้ถือเป็นส่วนน้อยครับ ส่วนที่เหลือของพลังงานจากเพลาของเครื่องยนต์ ถูกใช้ไปกับแรงขับเคลื่อนที่พารถแหวกอากาศไป ที่สำคัญก็คือแรงนี้ไม่คงที่ แต่แปรตามความเร็วของรถ คือยิ่งเร็วแรงต้านอากาศยิ่งมาก
สมมติว่าแรงนี้คงที่ไม่ว่าจะขับเร็วหรือขับช้า เราคงไม่ต้องมาเรียกร้องให้ขับช้าเพื่อประหยัดน้ำมัน เพราะถ้าขับเร็วเวลาที่ใช้เดินทางและใช้น้ำมัน ก็จะลดลงตามสัดส่วนของความเร็วที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าแรงต้านอากาศนี้แปรผันตามความเร็วของรถ ย่อมหมายความว่าสัดส่วนของการใช้เชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น เกินกว่าสัดส่วนของเวลาเดินทางที่ลดลง ก็คือยิ่งขับเร็ว ยิ่งกินน้ำมันเพิ่มขึ้น (ในระยะทางเท่ากัน) นั่นเอง
เท่านั้นยังไม่พอครับ ในความเป็นจริงแรงต้านอากาศนี้แปรผันตามความเร็วของรถยกกำลังสอง พูดง่ายๆ ก็คือ เพิ่มขึ้นในอัตราที่ "ดุเดือด" หรือ "โหด" กว่าอีก ยกตัวอย่างเป็นตัวเลขให้เห็นชัดๆ ก็ได้ เช่นเพิ่มความเร็วของรถ 20 % จาก 100 กม./ชม. เป็น 120 กม./ชม.แรงต้านอากาศจะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 1.2x1.2 = 1.44 เท่า หรือ 44 % และเรารู้อยู่แล้วว่าที่ความเร็วระดับนี้ แรงเสียดทานอื่นๆ มีค่าไม่ถึง 5 % ของแรงขับเคลื่อน เราก็พอจะพูดได้ว่า ถ้าไม่นับที่ความเร็วต่ำ เช่น ต่ำกว่า 50 กม./ชม. แล้ว กำลังเครื่องยนต์ของรถเราถูกใช้ไปกับการพารถแหวกอากาศไปนั่นเองครับ
แล้วพลังงานส่วนนี้หายไปไหน ? ก็ถูกแปลงรูปเป็นพลังงานความร้อนในอากาศภายนอกรถนั่นเอง โดยเฉพาะด้านหน้ารถ อากาศจะถูกอัดตัวค่อนข้างมาก ถ้าเราให้การสูญเสียพลังงานในส่วนนี้น้อยลงเราก็จะเหลือพลังงานในการขับเคลื่อนรถของเราให้ไปได้ไกลขึ้น (จากจำนวนเชื้อเพลิงเท่ากัน)
สำหรับผู้อ่านที่บอกว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง แถมปวดหัวด้วย เอาเป็นว่าขับให้ช้าเข้าไว้ครับ ถ้าต้องการประหยัด จะเพื่อช่วยชาติหรือเพื่อตัวเองก็ตาม (เพื่อทั้งสองอย่างนั่นแหละดีที่สุดครับ)
ช้าในที่นี้ก็คือ 60 ถึง 70 กม./ชม. ต้องอยู่ในเกียร์สูงสุดที่รถนั้นมีนะครับ เช่น เกียร์ 5 หรือเกียร์จังหวะที่ 4 (หรือ 5) ของเกียร์อัตโนมัติ 60 อาจจะช้าไป ถ้าเอาตามความเหมาะสมสัก 80 กม./ชม. ถือว่ากำลังดีครับ เกิน 90 กม./ชม. ก็ผิดกฎหมายแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ความเร็วให้ถูกกฎหมายก็จะประหยัดเชื้อเพลิงไปด้วย
สำหรับผู้ที่บอกว่ายิงทนไม่ไหว หรือมีเวลาไม่พอจริงๆ ยังพอเดินสายกลางได้ครับ คือผิดกฎหมายไม่มาก สิ้นเปลืองไม่มาก และใช้เวลาเดินทางไม่นากนัก และไม่อันตรายเกินไปสำหรับถนนสายหลักระหว่างจังหวัดของประเทศเรา ความเร็ว 120 ถึง 125 กม./ชม. เป็นความสมดุลระหว่างเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อนี้ในความเห็นส่วนตัวของผม แต่ไม่ได้สนับสนุนนะครับ ค่าที่ดีจริงยังคงเป็นไม่เกิน 90 กม./ชม. อยู่ดี
ผมเชื่อว่ามีผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อย ที่มีสำนึกเรื่องนี้แล้วยินดีร่วมมือ แต่ถามตัวเองว่า ทำแล้วจะได้อะไร ในเมื่อขับอยู่ที่ความเร็ว 90 หรือ 100 กม./ชม. แล้วต้องทนดูรถอื่นแซงผ่านไปคันแล้วคันเล่า ด้วยความเร็ว 140 ถึง 160 กม./ชม. กฎหมายที่ดีนั้นเมื่อบังคับใช้แล้ว ต้องมีการควบคุมให้ "ศักดิ์สิทธิ์" ด้วย มิฉะนั้นก็เปล่าประโยชน์ และยังทำให้ประชาชนดูถูกดูแคลน ได้ใจเพิ่มในการละเมิดอีกด้วย
แต่ที่ผมแปลกใจยิ่งกว่านี้ก็คือ แทนที่จะให้ประชาชนจำเป็นต้องประหยัดจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รัฐ ฯ กับจำกัดราคาไว้ด้วยการใช้เงินชดเชยจากกองทุน สนับสนุนให้ผู้ใช้รถผลาญเชื้อเพลิงกันต่อไป คงเป็นการสื่อถึงประชาชนทางอ้อมว่า "ถลุงน้ำมันกันตามสบายนะครับ ขออย่างเดียว รอบหน้าอย่าลืมเลือกพวกผมอีกก็แล้วกัน"
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88679