แนะนำเพลง
ดูหนังฟังเพลง
ROCK OF AGES
"รอคลำเพลิน"
หากว่าคุณเป็นคอเพลงรอค ชอบอะไรที่กระทุ้งหูแบบแน่นๆ ใส่มาแบบหนักๆ คุณอาจจะชอบภาพยนตร์เพลงเรื่องนี้...
ROCK OF AGES เป็น MUSICAL FILM ที่แตกงอกออกมาจากละครเพลงบรอดเวย์ในชื่อเดียวกัน โดยอาศัยดนตรีเป็นตัวดำเนินเรื่อง พระเอก นางเอก ตัวร้าย ตัวประกอบ ทุกคนล้วนต้องร้องเล่นเต้นรำ ในที่นี้เขาเลือกใช้เพลงรอคเป็นตัวชูโรงแรกเริ่มเดิมทีมีอยู่ว่า ผับชื่อดังเก่าแก่แห่งหนึ่งกำลังมีทีท่าว่าจะเจ๊ง เนื่องจากรายได้ไม่พอกับภาษีที่ต้องจ่าย ติดค้างมาเป็นปี เจ้าของร้านขารอคก็ได้แต่บ่นว่า ไอ้ภาษีบ้านี่มันไม่ ROCK 'N ROLL เอาซะเลย
แล้วก็ให้บังเอิญว่า นายกเทศมนตรีคนดังมีนโยบายกวาดล้างถนนสายโลกีย์ที่ผับแห่งนี้ตั้งอยู่ โดยมีภรรยาสุดเนี้ยบของเขา เป็นตัวขับเคลื่อนอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กวาดต้อนเอากลุ่มคนหัวอนุรักษ์ และผู้ศรัทธาในคำสอนของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด มาถือป้ายประท้วงอยู่หน้าผับทุกวันๆ จนวันหนึ่งถึงได้รู้ว่าไอ้ร้านนี้มันค้างจ่ายภาษีอยู่นี่นา งั้นเรามาปิดมันกันเถอะ
แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการมาถึงของเทพเจ้าชาวรอค นามว่า สเตซี แจกซ์ ผู้เคยแสดงสดแล้วบันทึกเสียงในผับแห่งนี้ จนกลายเป็นอัลบัมในตำนาน เทียบชั้นได้กับ AEROSMITH, POISON, DEF LEPPARD และอื่นๆ ที่ชาวรอคบูชาในวัยเดียวกัน
สเตซี แจกซ์ ที่แสดงโดย ทอม ครูส ฉีกแนวหนังที่เคยรับเล่น แหกกรอบตัวเองมาใส่เดฟหนังรัดเป้า เขย่าลีลารอคสุดหลอน ผู้ซึ่งได้รับการนิยามว่าประกอบขึ้นจาก 3 สิ่ง ได้แก่ เซกซ์ ดนตรียั่วยุ และเซกซ์ !
ถามว่า ทอม ครูส ดึงดูดใจให้มาดูหนังเรื่องนี้ไหม ? ก็คงใช่ เพราะเผลอคิดไปว่าหนังนี่คงต้องมีอะไรดี เขาถึงมารับเล่น แต่พอดูไปได้ซักครึ่งเรื่อง ก็เริ่มจะรู้ว่าคิดผิด ทอม ครูส ในมาดรอคเคอร์ดูยังไงมันก็ไม่ใช่ เพราะเขาท้วมเกินกว่าจะรอค แถมหุ่นก็เตี้ยตัน พอใส่กางเกงรัดติ้วเดินถอดเสื้อโทงๆ ก็ยิ่งดูขัดตา ผมเผ้าก็เหมือนเพิ่งจะต่อเอาข้างกองถ่าย โชว์บนเวทีลีลาก็งั้นๆ บทเปิดตัวบนเตียงนอนที่มีสาวๆ ก่ายกองก็เชยเฉิ่ม อยากจะเอาเขาไปเทียบกับ บแรด พิทท์ ในมาดนักมวยข้างถนนเรื่อง SNATCH ก็กลัวจะผิดต่อหลักการ เอาเป็นว่าบทนี้ ทอม ครูส ไม่ผ่านอย่างแรง
อย่างไรก็ตาม หากมองที่ภาพรวมกับนักแสดงรายอื่นๆ นี่คือ หนังที่ดีพร้อมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะกับคอรอคทั้งหลาย เพราะหนังเต็มไปด้วยบทเพลงรอคระดับตำนาน เอามาขับร้องใหม่โดยผ่านการตีความให้เข้ากับเนื้อหาในฉากนั้นๆ ล้วนเป็นเพลงที่ชาวหูเหล็กคุ้นเคยกันดี ทีนี้พอเอามาทำเป็นหนังเพลง มันก็เลยกลายเป็นรอคแบบเพลินๆ นั่นเอง...
CONFESSIONS
"ความงดงามที่เอาผิดไม่ได้"
คุณครูสาวคนหนึ่ง มีลูกสาวอยู่ 1 คน ลูกสาวตัวน้อยเสียชีวิตเพราะตกลงไปในสระว่ายน้ำ เธอไม่มีเวลาดูแลลูกเพราะต้องสอนหนังสือ สามีก็ป่วยเป็นโรดเอดส์ โชคดีที่เธอและลูกสาวไม่ติดเชื้อ แต่โชคร้ายที่ต้องมาตายทั้งๆ ที่อายุไม่ถึง 10 ขวบเลยด้วยซ้ำ
โชคร้ายกว่านั้น คือ เธอทราบว่าลูกของเธอไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่ตายเพราะเด็กนักเรียนในห้อง 2 คน นักเรียนชั้นมัธยมต้นวัยใส ดูยังไงก็ไม่น่ามีพิษมีภัย อาจจะมีรังแกกันบ้าง แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นเสียชีวิต
ครูสาวเล่าย้อนขณะเปิดเผยเรื่องนี้ในห้องเรียนที่ตนสอนอยู่ เธอบอกว่าเด็กญี่ปุ่นถ้าอายุไม่ถึง 14 ปี ทำอะไรก็เอาผิดไม่ได้ อย่างมากก็แค่เข้าสถานพินิจทำนองนั้น เมื่อปีก่อนจึงมีเด็กหญิงทำการทดลองผสมยาพิษให้คนในบ้านค่อยๆ ดื่ม แล้วบันทึกผลลงบนเวบบลอค ปรากฏว่าพอถูกจับ เธอกลายเป็นไอดอลของเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่น
ครูสาวเล่าพลาง เด็กก็เอาแต่คุยกัน ประหนึ่งว่าไม่ยินดียินร้ายกับการตายของใครทั้งสิ้น เพียงแต่ตั้งใจฟังอยู่บ้าง เพราะแค่อยากรู้ว่าใครกันนะ ที่ฆ่าลูกสาวของคุณครู
ครูจึงเล่าต่อว่า เด็กที่ลงมือคนแรก คือ เด็กชายเอ (นามสมมติ) เป็นเด็กหัวดี แต่มีข่าวลือว่าจิตใจเหี้ยมโหด ชอบจับหมาและแมวข้างถนนมาทดลองเครื่องประหาร วันหนึ่งเด็กชายเอทำกระเป๋าไว้เล่นงานพวกโจร มีเครื่องชอทเมื่อมือแตะถูกซิพ เขาอ้างว่าเอาไว้ตอบโต้พวกไถเงินชาวบ้าน ครูก็รู้เลยว่านี่คือข้ออ้างจอมปลอม และข่าวลือก็คงจะจริง
ที่แย่กว่านั้นก็คือ เมื่อครูรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าลูกสาวของเธอ เขาก็สารภาพทั้งรอยยิ้ม พร้อมเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าคนเป็นแม่ของเด็กที่เขาฆ่า ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น...
เด็กคนที่ 2 ที่ก่อเรื่อง เป็นเด็กไม่น่าสนใจ ทำอะไรก็ถูกกีดกัน เขาเข้าร้านเกมเซนเตอร์แล้วถูกตำรวจจับตัวไว้ จึงส่งข้อความให้ครูสาวมาช่วย ครูสาวรู้ทันเรื่องทำนองนี้ เนื่องจากเคยมีคดีเด็กหญิงขู่ฆ่าตัวตาย ส่งข้อความให้คุณครูมาหา พอมาถึงก็แอบถ่ายภาพไว้บแลคเมล์ ทุกครั้งที่มีอี-เมล์ หรือข้อความประมาณนี้มา เธอจึงแก้ทางด้วยการให้ครูผู้ชายไปแทน เด็กชายบี (นามสมมติ) จึงแค้นครูอยู่นิดหน่อย
ทั้งหมดนี้ คือ เศษเสี้ยวของหนังที่นำเสนอความรุนแรง ผ่านภาพและเสียงสุดสวย ทุกฉากทุกตอนหนังบรรจงสร้างอย่างประณีต ใช้ทั้งมุมกล้องและการสาดแสงเพื่อขับเน้นอย่างละมุนละไม แต่ละเพลงที่เลือกใช้ก็คล้ายกับจะร้องอย่างไพเราะ เพื่อเรื่องราวอันโศกสลด ซึ่งมันไม่จบลงเพียงเท่าที่เล่ามา
เมื่อสุดท้ายครูสาวมอบบทเรียนให้แก่นักเรียนทั้ง 2 คน และนักเรียนทั้งห้อง ด้วยการผสมเชื้อเอชไอวี ให้เด็กชายเอ และเด็กชายบีดื่ม เพื่ออย่างน้อยเขาจะได้สำนึกถึงสิ่งที่ทำก่อนที่เชื้อจะลุกลาม...แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของความรุนแรง และความหดหู่ ซึ่งท้ายที่สุดมันจะลุกลามใหญ่โตไปกระทบถึงใครบ้างก็ยากเกินจะคาดเดา (อยากรู้ต้องดูเอาเอง)
ศิลปิน : JEFF HEALEY
อัลบัม : MESS OF BLUES
แนวดนตรี : BLUES ROCK
โปรย : "ตามระเบียบบลูส์ !"
JEFF HEALEY เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และนักกีตาร์บลูส์-แจซซ์ ชาวแคนาเดียน ผู้โด่งดังอย่างมากในช่วงปี 1980-1990 พ่อบุญธรรมของ JEFF HEALEY เป็นนักดับเพลิง พออายุเพียงขวบเดียว เขาก็ต้องสูญเสียดวงตาให้กับโรคมะเร็งที่น้อยคนนักจะเป็น
พออายุ 3 ขวบ เด็กน้อยตาเสียก็หัดเล่นกีตาร์แล้วพัฒนาแนวทางของตนเองจนชำนาญ เขาถนัดเล่นกีตาร์บนตัก เอามันวางนอนลงแล้วก็ใช้ทั้งมือซ้ายและมือขวาทำหน้าที่เหมือนกัน คือ ทั้งดีดและกด พออายุ 17 ปี ก็มีวงเป็นของตนเอง ออกตระเวนเล่นตามสถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองโตรอนโต
ต่อมาเด็กหนุ่มที่มองไม่เห็นก็ตั้งวง ออกอัลบัมจริงจังกับเพื่อนๆ ในปี 1988 ชื่อวงว่า THE JEFF HEALEY BAND อัลบัมแรก คือ SEE THE LIGHT มีเพลงเอกที่ทำให้พวกเขาดังเป็นพลุก็คือ เพลง ANGEL EYES ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีด้วย
ต่อมาพวกเขาก็ทำอัลบัมร่วมกันอีก รวมทั้งสิ้น 5 อัลบัมด้วยกัน พอถึงปี 2002 เขาก็เริ่มทำอัลบัมเดี่ยวของตนเอง จนกระทั่งเขาสิ้นอายุขัยไปเพราะโรคมะเร็ง ในปี 2008
MESS OF BLUES คือ อัลบัมเดี่ยวชุดที่ 5 หลังจากเขาเสียชีวิตเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่บันทึกไว้ตามการแสดงในที่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม เกือบทุกเพลงล้วนบันทึกเสียงได้ใสสะอาด มีเสียงผู้ฟังเป็นกระสัยพอให้ได้ทราบว่า นี่คือบันทึกการแสดงสด
HOW BLUE CAN YOU GET หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ DOWNHEARTED (แปลเป็นไทยใน GOOGLE ว่า "อ่วม") ทแรคที่ 2 ของอัลบัม หยิบยกเอาเพลงบลูส์ 12 บาร์ในตำนาน มาเล่าขานใหม่ในสไตล์ของเขา เวอร์ชันเดิมนั้นเป็นของ LEONARD FEATHER แต่นำมาบันทึกเสียงใหม่โดยนักดนตรีอีกหลายต่อหลายคน ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็น B.B. KING ซึ่งนำมาโชว์เสมอในการแสดงของเขา
แต่เกือบ 9 นาทีของ JEFF HEALEY ที่มีให้แก่ HOW BLUE CAN YOU GET ก็คงจะกล่าวได้ว่า มันไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ที่จับสังเกตได้เป็นพิเศษ ก็เห็นจะเป็นการร้องและบรรเลงอย่างใสสะอาด ไม่กระแทกกระทั้น แต่ก็ไม่ยวบยาบชวนหลับ
SUGAR SWEET เพลงที่สนุกล้นเหลือ ทั้งลีลาการเคาะคีย์บอร์ด และโซโลกีตาร์ของ JEFF HEALEY ที่กินขาด ขึ้นอินทโรด้วยกีตาร์บลูส์ก็บอกแล้วว่าเพลงนี้มันแน่นอน พอมาเจอการดวลกันของเครื่องสายกับเครื่องเคาะ (ลิ่มนิ้ว) ยิ่งมันไปกันใหญ่ ต่างคนต่างไม่ลดราวาศอก (นี่ถ้าไม่มีเสียงกลองคอยตีให้จังหวะรับรองงานนี้เละ)
10 บทเพลงในอัลบัม MESS OF BLUES ของ JEFF HEALEY มีทั้ง JAMBALAYA (ON THE BAYOU), THE WEIGHT ของวง THE BAND เพลงฮิทตลอดกาลอันดับที่ 41 จาก 500 เพลงของนิตยสารโรลลิงสโตน, SITTING ON TOP OF THE WORLD โฟล์คบลูส์ที่ถือกำเนิดมาเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว และเพลง SHAKE, RATTLE AND ROLL กับ LIKE A HURRICANE ที่คอเพลงบลูส์และรอคแอนด์โรลล์คุ้นหูกันดี ถือเป็นอัลบัมอีกหนึ่งที่ควรหามาใส่ไว้ในคลังเพลง เปิดตอนเช้าๆ เร้าใจดีนัก !
ศิลปิน : ALISON KRAUSS & UNION STATION
อัลบัม : PAPER AIRPLANE
แนวดนตรี : BLUEGRASS
โปรย : "เพลงเข้มข้น ถูกใจอย่างแรง"
อัลบัมที่ 15 ของ ALISON KRAUSS ที่ออกร่วมกับ UNION STATION ซึ่งจะว่าไปแล้ว ALISON KRAUSS ถ้าไม่เล่นกับ UNION STATION ก็ต้องเป็นงานเดี่ยวชุดแรกๆ เมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กสาว แต่ก็มีบ้างที่ร่วมออกอัลบัมกับวงอื่นๆ หนึ่งในนั้นก็เป็นการร่วมงานเฉพาะกิจกับ ROBERT PLANT เจ้าตำนานเรือเหาะล่องเวหา LED ZEPPELIN
ALISON KRAUSS เกิดเมื่อปี 1971 ทำงานด้านดนตรีมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่รู้จักเธอในนามของนักดนตรีบลูกราสส์-คันทรี ซึ่งเป็นแนวเพลงแขนงหนึ่งของโฟล์คอเมริกัน เธอเป็นทั้งนักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลง เข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 14 ปี ด้วยการประกวดร้องเพลงและเซ็นสัญญาออกอัลบัมกันอย่างทันอกทันใจ
พอถึงอัลบัมที่ 3 เมื่อเธอเริ่มแตกเนื้อสาว เธอก็ได้พบกับวงคู่ใจอย่าง UNION STATION ในตอนนั้นเองที่เสียงซอและเสียงร้องของเด็กสาว ถูกเติมเต็มด้วยเสียงแบนโจ กลอง กีตาร์ และเบสส์ กล่าวกันว่าพอเธอเริ่มทำอัลบัมถึงชุดที่ 4 วงการบลูกราสส์ในสหรัฐ ฯ ก็เริ่มหายใจได้อีกครั้ง หลังจากที่ทำท่าจะล้มหายไปจากหน้าปัดวิทยุ เพราะผู้คนเริ่มให้ความสนใจเด็กสาวคนนี้มากขึ้น บลูกราสส์ คืออะไร ? เป็นเพลงพื้นบ้านที่เป็นรากเหง้าของชาวอเมริกัน แต่ได้ผสมตัวเองเข้ากับเพลงประเพณีของสกอท ไอริช และอังกฤษ ลักษณะเฉพาะของบลูกราสส์ที่ขาดไม่ได้ คือ เครื่องเล่นที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าอย่าง แบนโจ แมนโดริน และเครื่องสายพื้นบ้านอย่าง ซอ นั่นเอง
ฉะนั้นเมื่อ ALISON KRAUSS เริ่มเอื้อนเอ่ยเพลงแนวนี้ด้วยเสียงใสๆ ผ่านใบหน้าสวยๆ อัลบัมที่ 5 EVERYTIME YOU SAY GOODBYE ของเธอ และ UNION STATION (อัลบัมที่ 4 ไม่ได้ออกร่วมกัน) จึงเริ่มติดอันดับในชาร์ทเพลงฮิทต่างๆ กระทั่งได้รับรางวัล GRAMMY AWARD BEST BLUEGRASS ALBUM ในปี 1993
ต่อมาในอัลบัมที่ 6 ของเธอที่ออกร่วมกันกับ THE COX FAMILY ชื่ออัลบัมว่า I KNOW WHO HOLDS TOMORROW ในปี 1995 ก็ได้รับรางวัล GRAMMY AWARD FOR BEST SOUTHERN, COUNTRY OR BLUEGRASS GOSPEL ALBUM
อัลบัมถัดมา SO LONG SO WRONG ของเธอและวง UNION STATION ก็ได้รับรางวัลแกรมมีอีกครั้ง แต่คราวนี้กวาดไป 3 รางวัล ตั้งแต่วงคันทรียอดเยี่ยม อัลบัมบลูกราสส์ยอดเยี่ยม และ LITTLE LIZA JANE เพลงคันทรียอดเยี่ยม ซึ่งต่อมาเธอก็ได้รับรางวัลแกรมมีอีกเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ได้รับเกียรติประวัติอันสูงสุด คือ นับเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวที่ได้รับรางวัลแกรมมีมากที่สุด คือ 26 ครั้งด้วยกัน !
ส่วนตัวผู้เขียนชอบเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง O BROTHER, WHERE ART THOU ? มาก เพราะหนังก็ดีเพลงก็เพราะ หลายเพลงก็ให้อารมณ์แบบบลูกราสส์ แต่เพลงหนึ่งซึ่งฟังบ่อยๆ จนร้องได้ก็คือ DOWN TO THE RIVER TO PRAY ซึ่งเป็นเพลงประกอบพิธีความเชื่อของคนพื้นถิ่นแถบทางใต้ และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าขับร้องโดย ALISON KRAUSS
เรื่องโดย : ปัญญ์
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88509