ร่มไม้ชายศาล
ตำรวจอาสา/เปลี่ยนตัวคนซื้อ
การแก้ไขปัญหา ย่อมไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ตราบใดยังมุ่งมั่นที่จะแก้ ยึดหลัก ปัญหามีไว้ให้แก้ ทุกปัญหาย่อมแก้ได้เสมอ ตัวอย่างที่ตำรวจนครบาลในกทม. กำลังลงมืออย่างหนึ่ง อันได้แก่ ตำรวจอาสาตาเหยี่ยว รับประชาชนผู้มีจิตอาสามาอบรม แล้วให้ "จับ" ผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรสารพัดในกทม. เพราะลำพังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เอาไม่อยู่ ดังที่ปรากฏ ผมเห็นด้วยอย่างแรงการจับในที่นี้ ไม่ได้ให้อาสาไปไล่กวด ไล่ออกใบสั่งตรงๆ แต่ใช้อุปกรณ์ซึ่งเดี๋ยวนี้เด็กชั้นอนุบาลก็มีกันทั้งนั้น ได้แก่ มือถือ ไอโฟน ไอแพด หรือทำนองเดียวกัน ราคาแพงบ้าง ถูกบ้าง ถ้าเป็นของจีน ซึ่งใช้ได้เหมือนกัน แล้วไปถ่ายภาพพวกที่ ขับรถ จอดรถ ฝ่าฝืนกฎจราจร ทุกรูปแบบ โดยเน้นให้เห็นป้ายทะเบียนรถเป็นสำคัญ หลังจากนั้นก็ส่งสิ่งที่ถ่ายไว้ ไปยังโรงพัก หรือศูนย์ที่ดำเนินการได้ในบัดดล หลังจากนั้น ตำรวจก็จัดการเชคบิลล์ผู้กระทำผิดได้ไม่ยาก เงินค่าปรับที่ได้มา ตำรวจมีส่วนแบ่งอยู่แล้วตามปกติ โดยไม่ต้องไปยืนตากแดดตากฝนเขียนใบสั่ง ให้ชาวบ้านเหม็นหน้า หรือชกหน้า หรือขับรถเหยียบเข้าให้ ผมมีข้อติงอยู่นิดหนึ่ง คือ ตำรวจอาสาน้อยไปหน่อย แค่ 88 คน คือ โรงพักละ 1 คน สมควรมากกว่านั้น จึงจัดการกับพวกฝ่าฝืนได้ทั่วถึง ซึ่งน่าจะมีชาวบ้านสมัครใจช่วยได้พอเพียงตามที่ต้องการ ต้องไม่ลืม คือ ค่าตอบแทน ควรมีให้บ้าง เพราะเขาต้องใช้พลังงาน เจียดจากค่าปรับที่ได้มา น่าจะไม่มีปัญหา อีกอย่าง ต้องดูแลความปลอดภัยให้เขาหน่อย โดยพิจารณาจากวิธีการทำงาน ว่ามีจุดเสี่ยงอย่างไรหรือไม่ ต้องมีการอำพรางแบบ สายลับหรือไม่ สิ่งที่ต้องขอร้องคุณตำรวจ คือ เมื่ออาสาส่งงานให้ แจ้งเหตุให้แล้ว ต้องไม่หมกเม็ดหรือละเว้น ด้วยเหตุต่างๆ เช่น เจอเส้นเจอตอ จะไม่งาม ตำรวจอาสาจะเสียกำลังใจ งานใหญ่จะเสีย สิ่งที่อยากเสนออีกอย่าง คือ ค่าปรับ หรือการลงโทษเพื่อเอาผิดตามกฎจราจร ของไทยเรานั้นถูกมากๆ จนผู้คนไม่เกรงกลัว ความเดือดร้อนจึงเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม เพราะคนส่วนน้อย หากขึ้นราคาค่าปรับซะบ้าง น่าจะลดการฝ่าฝืนลงได้ ขึ้นราคาแล้ว ยอมให้มีการผ่อนชำระ อย่างเมืองนอกเขาทำ ก็จะลงเอยด้วยดี รับรองใครเจอรายการผ่อนส่งค่าปรับที่หนักขึ้นกว่าเก่า เสียดายสตางค์และเข็ดจนได้ วิกฤตจราจรก็จะดีขึ้นแน่นอน มาว่ากันถึงคดีความให้ครึกครื้นอย่างเคย เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ นายหนูยักษ์ กับ นางกุ้งใหญ่ โดน บริษัท สิงโตการค้าขายรถ จำกัด ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่ง กล่าวหาว่า นายหนูยักษ์ ผิดสัญญาเช่าซื้อ บริษัทบอกเลิกสัญญาแล้วยึดรถคืนไม่ได้ บังคับ นายหนูยักษ์ และ นางกุ้งใหญ่ คนค้ำประกัน ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ ถ้าคืนรถไม่ได้ให้ใช้ราคา 445,115 บาท และค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 133,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จ นับว่าอ่วมเหมือนกันสำหรับจำเลยถ้าแพ้คดี นายหนูยักษ์ กับ นางกุ้งใหญ่ กัดฟันจ้างทนาย ซึ่งตนเองไม่แน่ใจว่าจะแพ้หรือชนะ เพื่อสู้คดี ทนายเขียนคำให้การว่า บริษัทกับพวกตน ตกลงยกเลิกสัญญาเช่าซื้อ โดยเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อจาก นายหนูยักษ์ เป็น นายมดง่าม เปลี่ยนคนค้ำประกันจาก นางกุ้งใหญ่ เป็น นายหมูจิ๋ว นายหนูยักษ์ ได้ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อให้แก่ นายมดง่าม แล้ว บริษัทนั่นแหละจัดการเอกสารให้เป็นที่เรียบร้อย เก็บค่าธรรมเนียมด้วยละ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นนั่งหน้ายิ้มยากตามสไตล์ตุลาการทั่วไป เพื่อให้น่าเกรงขามอยู่บนบัลลังก์ ฟังพยานฝ่ายโน้นฝ่ายนี้จนเบื่อพอประมาณแล้ว จึงตัดสินยกฟ้อง ให้จำเลยชนะ บริษัท สิงโตการค้าขายรถ ฯ ไม่ย่อท้อ ให้ทนายของตนยื่นอุทธรณ์ แต่ไม่เป็นผล ศาลอุทธรณ์นั่งพลิกดูเฉพาะสำนวน สบายกว่าศาลชั้นต้นพอประมาณ เห็นด้วยกับการตัดสินของศาลชั้นต้น ทั้งๆ ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ท่านก็พิพากษายืน ให้บริษัท สิงโตการค้าขายรถ ฯ แพ้คดีอีกยกหนึ่ง โจทก์คือบริษัท สิงโตการค้าขายรถ ฯ ยังลุ้นไม่เลิก ยื่นฎีกาเพื่อเอาชนะ ยันว่าสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับจำเลยยังมีผลบังคับ ศาลฎีกาซึ่งแต่ละท่านคดีประดังมาทับถมจะแย่ ฮึดสู้ ดัดคว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิวส่องดูด้วยความละเหี่ย แล้วชี้ขาดออกมาว่า หลังจาก นายหนูยักษ์ กับ นางกุ้งใหญ่ ทำสัญญาเช่าซื้อรถไป ได้ผ่อนชำระ ไม่มีการผิดนัดถึงงวดที่ 5 ขณะที่ยังไม่ครบงวดถัดไป นายหนูยักษ์ ติดต่อ นส. ปลาน้อย พนักงานของบริษัท ฯ ณ ที่ทำการของบริษัท ฯ ขอเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อใหม่ ให้ นายมดง่าม เป็นผู้เช่าซื้อ และ นางปูโต เป็นผู้ค้ำประกัน นส. ปลาน้อย จึงให้ นายหนูยักษ์ และ นายมดง่าม ผู้เช่าซื้อเดิมและผู้เช่าซื้อใหม่ ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือโอนสิทธิสัญญาเช่าซื้อของบริษัท ฯ โดยไม่มีการกรอกข้อความ และลงลายมือชื่อรับมอบรถยนต์ ในหนังสือหลักฐานการรับมอบรถยนต์ที่ทำขึ้นโดยบริษัท ฯ นส. ปลาน้อย พนักงานบริษัท ฯ ยังลงลายมือชื่อในฐานะเป็นฝ่ายโอนสิทธิและผู้ส่งมอบรถ ซึ่งปรากฏว่ามีการตรวจสอบความถูกต้องในการจัดทำเอกสาร และตรวจสอบรถจากพนักงานฝ่ายอื่นของบริษัท ฯ ด้วย ในวันนั้นเอง นายหนูยักษ์ ได้จ่ายค่าธรรมเนียมโอนสิทธิให้แก่บริษัท ฯ รับไป ถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติในการโอนสิทธิตามสัญญา เช่าซื้อของบริษัท ฯ แล้ว อีแบบนี้ถือว่า นายหนูยักษ์ ได้ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อ คืนบริษัท ฯ โจทก์แล้ว มีการเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่า หนังสือโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อระหว่าง นายมดง่าม กับบริษัท ฯ จะได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ สัญญาเช่าซื้อระหว่างจำเลย คือ นายหนูยักษ์ กับบริษัท ฯ เป็นอันเลิกกันตาม ปพพ. มาตรา 573 บริษัท ฯ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ สร้างความเซ็งให้จำเลย ศาลล่างพร้อมใจกันยกฟ้อง ศาลฎีกาเอาด้วย ศาลฎีกาจึงยอมเมื่อยขบอีกงานหนึ่งพิพากษายืนให้จำเลยชนะอย่างขาดลอย แปลกเหมือนกัน ชื่อผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ ช่างสอดคล้องกันเหลือเกิน ทั้งหญิงชายแม้กระทั่งบริษัทว่าไหม เป็นประจำละครับ พวกที่ตั้งหน้าฟ้องเขาท่าเดียว แพ้คดี ศาลแรกแจกแจงชัดเจน เห็นแล้วก็พอจะรู้ว่าเอาชนะไม่ได้แหงๆ แต่ดันทุรังค้าความ สร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่สร่างซา น่าเห็นใจ เพราะการเป็นความในบ้านเมืองเรานั้น ใช้เวลายาวนาน ข้ามทศวรรษเป็นเรื่องปกติ คนต้องคดีต้องลุ้นระทึกแบบมาราธอน ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอีท่าไหน จะรับมือยังไง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประชาชนคนไทยต้องแบกรับภาระ จากการราวีกันเอง และจากกระบวนการดำเนินคดี ซึ่งยังไม่มีการแก้ไขใดๆได้ เหลือทางเดียว เราๆ ท่านๆ พยายามเอาตัวรอดก็แล้วกัน อย่าให้มีคดีมาแผ้วพาน จนยามกินไม่ได้นอน ยามนอนไม่ได้กินนั่นเทียว จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3869/2546 คดีรถ ตีพิมพ์ใน "ฟอร์มูลา" ส่งไป 5/10/2555
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88344