รอบรู้เรื่องรถ
รอดได้ ถ้าเบรค ฉุกเฉิน เป็น
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า จำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยนั้น สูงจนน่าวิตกอย่างยิ่ง ซึ่งก็มีสาเหตุหลายประการด้วยกัน เช่น ประมาท เมาสุรา ใช้ยากระตุ้นประสาท ใช้รถที่ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ คึกคะนอง ขับรถไม่ถูกวิธี ฯลฯ ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุด้วยสาเหตุใดก็ตาม จำนวนไม่น้อยเกิดขึ้นเพราะ เบรค "ไม่อยู่" ไม่ได้หมายความว่า ระบบเบรคของรถผิดปกติ หรือไม่ทำงานนะครับ แต่หมายถึงการที่รถไม่สามารถหยุดนิ่งได้ก่อนที่จะชนสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แน่นอนครับว่า ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากระบบเบรคของรถไม่ดีพอ (เช่น ทำงานได้เต็มเพียงล้อเดียวหรือ 2 ล้อ ทั้งๆ ที่เป็นรถ 4 ล้อ ผมพบด้วยตัวเองบ่อยมาก) แต่ส่วนใหญ่แล้วระบบเบรคของรถอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ โดยเฉพาะยุคนี้ที่ชาวไทยกำลังแตกตื่นกับการได้ซื้อรถใหม่จากโรงงาน แน่นอนว่าระบบเบรคของรถเหล่านี้ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ผมจึงเชื่อว่าจำนวนกว่าครึ่งของอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนกัน เพราะเบรคไม่อยู่นั้น สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเท่าที่สังเกตดู ผู้ขับรถส่วนใหญ่ยังไม่ทราบวิธีเบรคฉุกเฉินที่ถูกต้องครับ
เพื่อให้เข้าใจง่าย เรามาดูขั้นตอนการเบรคฉุกเฉิน ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเวลาไม่กี่วินาทีกันอย่างช้าๆ ทีละขั้นเริ่มตั้งแต่ ผู้ขับมองเห็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเบรคฉุกเฉิน จากนั้นสมองจะประเมินผลว่าจำเป็นต้องเบรคทันที แล้วจึงเริ่มสั่งการให้อวัยวะของเราเริ่มขั้นตอนการเบรค ผมขอเรียกระยะเวลานี้ว่า ระยะเวลาที่ 1 จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มยกเท้าจากคันเร่งไปเหยียบแป้นเบรค ช่วงนี้เป็นระยะที่ 2 เมื่อแป้นเบรคถูกเหยียบแล้ว ไม่ได้หมายความว่าล้อของรถเราจะทำการเบรคได้ทันที ระบบเบรคของเราทำงานด้วยกลไกและไฮดรอลิค จึงกินเวลาเล็กน้อยระหว่างที่แป้นเบรคถูกเหยียบและล้อเริ่มมีแรงเบรค เป็นระยะเวลาที่ 3 เวลาแต่ละช่วงนี้ สั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่รถเริ่มลดความเร็วจริงๆ จนกว่าจะหยุดเอง หรือหยุดเพราะชนสิ่งใด เป็นระยะเวลาที่ 4
ที่จริงมีระยะเวลาก่อนที่จะเริ่มต้นระยะเวลาที่ 1 อีกครับ คือ ระยะเวลาที่เริ่มมีสิ่งกีดขวาง หรือปรากฏการณ์ใดที่ทำให้เราต้องเบรค จนถึงเวลาที่ผู้ขับเห็น ผู้ขับที่ปล่อยให้เกิดระยะเวลาที่ว่านี้ คือ ขับรถเหม่อลอย หรือหันไปมองอะไรด้านข้างเป็นเวลานาน หรือก้มลงหาของ ฯลฯ ตามหลักวิชาการเขาจึงไม่นับระยะเวลานี้เพราะห้ามปฏิบัติอยู่แล้ว
ระยะเวลาที่ 1 นี้ เป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ฝึกฝนได้ครับ โดยการตั้งใจขับ มีสมาธิและสำนึกอยู่ตลอดเวลา ใครทำได้ก็จะลดระยะเวลานี้ให้สั้นลงได้ ซึ่งถ้าคิดเป็นระยะเวลาทางก็ได้หลายเมตร (ขึ้นอยู่กับความเร็วของรถ)
ระยะเวลาที่ 2 ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติอย่างแท้จริง ผู้ที่ฝึกฝนจะสามารถลดระยะเวลานี้ลงได้เหลือเพียงครึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องฝึกโดยการเบรคฉุกเฉินจริงๆ นะครับ แค่ฝึกถอนเท้าออกจากคันเร่งมายังแป้นเบรคอย่างรวดเร็ว แต่ตอนเหยียบให้เหยียบด้วยความแรงตามความเหมาะสม และไม่ต้องทำทุกครั้งด้วย ในการขับรถตามปกติจะมีสภาวะที่เราต้องเบรคทันทีทันใดเสมออยู่แล้ว ถ้าฝึกฝนจนชำนาญ เราจะสามารถเบรคอย่างรวดเร็วแต่ไม่แรงได้ คือ ยกเท้ามาเหยียบแป้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ต้องเหยียบแรง ผลพลอยได้ของการเหยียบเบรคได้เร็วขึ้น คือ การที่เราสามารถเบรคด้วยแรงน้อยลงได้ เพราะเหลือระยะทางเบรคมากขึ้น
ระยะเวลาที่ 3 เป็นเรื่องของรถครับ ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าระบบเบรคอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็ให้ถือว่าระยะเวลานี้สั้นที่สุด
ระยะเวลาที่ 4 คือ จุดประสงค์ที่ผมเขียนเรื่องนี้เพราะผู้ขับรถส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจความสำคัญของมัน วิธีเบรคในระยะเวลาที่ 4 นี้ สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการเบรคแบบธรรมดา หรือเบรคฉุกเฉิน
กรณีที่เป็นการเบรคตามปกติ ซึ่งบางครั้งก็ต้องเป็นการเบรคอย่างแรงจนเกือบจะเข้าขั้นเบรคฉุกเฉินเหมือนกัน ผู้ขับส่วนใหญ่จะเหยียบแป้นเบรคด้วยแรงที่น้อยเกินไป ทั้งจากความเคยชินและจากการกะระยะผิดพลาด และจะเริ่มเพิ่มแรงเหยียบขึ้น เมื่อรู้สึกว่าระยะทางที่เหลือสำหรับการเบรคนั้น น้อยเกินไปแล้ว ซึ่งอาจจะสายไปครับ ผลก็คือ การชน โดยจริงๆ แล้วยังไม่เข้าขั้นสุดวิสัย ถึงแม้ไม่ชนก็อาจจะมีอาการหวาดเสียวเกิดขึ้น ผู้ขับเองอาจทราบว่าพอเอาตัวรอดได้หวุดหวิด แต่ผู้โดยสารเขาหวาดเสียวกว่าหลายเท่า
วิธีเบรคที่ถูกต้อง คือ การเหยียบเบรคอย่างแรงตั้งแต่ต้น ให้รถลดความเร็วลง จากความเร็วสูงตั้งแต่แรก เราจะเหลือระยะห่างระหว่างรถและสิ่งกีดขวางอยู่มาก และเหลือ "เวลา" ในการเบรคมากด้วย เพราะความเร็วของรถต่ำลงแล้วตั้งแต่ต้น เมื่อแน่ใจว่าระยะทางที่เหลือ พอสำหรับการเบรคอย่างเบากว่า จึงค่อยลดแรงที่เหยียบลง จะปลอดภัยกว่ามาก และไม่ทำให้เราเครียดด้วยครับ
กรณีที่เป็นการเบรคฉุกเฉิน ถ้าเป็นรถที่ไม่มีระบบป้องกันล้อลอค หรือ ระบบ เอบีเอส (ABS) แล้วขับอยู่บนถนนผิวดีแห้งสะอาด คงไม่มีทางเลือกนอกจาเบรคให้เร็วและแรงเต็มที่ตั้งแต่ต้น แน่นอนว่าล้อจะลอค ถ้าเป็นผู้ชำนาญจริงๆ หรือมีพรสวรรค์ ที่สามารถกะแรงเบรคบนผิวถนนสภาพต่างๆ ได้ ให้เบรคแรงเท่าที่ล้อเกือบลอค หรือลอคบ้างไม่ลอคบ้าง แต่ต้องถือเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งผมไม่แนะนำให้ใครทำตาม เพราะถ้ากะผิดพลาด คือ เบรคด้วยแรงน้อยเกินไป อาจจะชนโดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นเบรคเต็มที่ให้ล้อลอคไว้ก่อนดีที่สุดครับ ส่วนวิธีเบรครถที่มี เอบีเอส ได้เคยอธิบายไปแล้ว คือ เหยียบได้แรงเต็มที่เท่าที่ต้องการ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความลื่นของผิวถนน หวังว่าคงยังไม่ลืม และนำไปปฏิบัติด้วยนะครับ
อันตรายของถนน ONE-WAY
เมืองที่ถูกจัดว่าอยู่ในระดับมหานครแต่ละเมือง มักจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากบ้างน้อยบ้าง กรุงเทพ ฯ ของเราก็มีเอกลักษณ์หลายอย่าง ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ บางอย่างก็เหมือนมหานครบางเมือง บางอย่างก็ไม่มีใครเหมือนเลย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นความแปลกประหลาดไม่เหมือนใครในด้านลบ และผมไม่เคยเห็นมหานครไหนในโลกนี้มี ถ้าไม่นับเมืองเล็กๆ ในบางประเทศที่แย่ นั่นก็คือ การมีถนน ONE-WAY อยู่มากมาย โดยไม่ต้องมีป้ายบอกใดๆ ทั้งสิ้น มันคือ สิ่งที่ยืนยันว่า พลเมืองของประเทศนี้ มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดได้ดีเพียงใด แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ดี และผู้อื่น หรือเมืองอื่นควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่แย่มาก และอันตรายมากด้วย
สงสัยไหมครับว่า ถ้ามันอันตรายจริงอย่างที่ผมว่า ทำไมจึงไม่ค่อยมีอุบัติเหตุ เพราะสาเหตุนี้ให้เห็นบ่อยนัก คำตอบก็คือ เพราะคนไทยขับรถกันแบบห่วย ชุ่ย และไร้ระเบียบวินัยครับ เมื่อพลเมืองบนท้องถนนที่ขับรถทั้งหมด ชุ่ย ไร้ระเบียบ วินัย แล้วยังเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวสุดๆ ทุกคนก็เลยต้องพัฒนาทักษะแบบพิเศษขึ้นมา เพื่อรับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายดังกล่าวนี้ นั่นก็คือ การเตรียมใจ เตรียมพร้อม โดยสำนึกอยู่ตลอดเวลา ว่าคนขับรถทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้องกับเรานั้น พร้อมที่จะทำผิดกฎจราจร ขับแบบผิดหลักวิธีทางเทคนิค ชุ่ย ประมาทได้ตลอดเวลา ทุกคนพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ คนที่ทำผิดก็เลยได้ใจ หรือไม่ก็ผลัดกันทำผิดในแบบ "ทีใครทีมัน" อุบัติเหตุแบบหนักถึงชีวิต จากการขับรถสวนทางบนถนน ONE-WAY จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันค่อนข้างปลอดภัย และควรปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปนะครับ อันตรายถึงชีวิตยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น คุณขับรถมาถึงสามแยกหนึ่ง ถนนที่ขวางหน้าคุณเป็นถนน ONE-WAY ให้รถแล่นจากซ้ายมือของคุณไปในทิศขวามือ และแน่นอนว่า ไม่มีป้ายหรือเครื่องหมายใดทั้งสิ้น ที่บอกว่าถนนที่ขวางหน้าคุณอยู่เป็นถนน ONE-WAY มีอยู่ทั่วไปครับ ทั่วกรุงเทพ ฯ และเมืองใหญ่บางเมืองของประเทศไทย ถ้าคุณไม่เคยใช้ถนนนี้มาก่อนเลย และต้องการเลี้ยวซ้าย สิ่งที่คุณทำก็คือ ลดความเร็วของรถจนหยุดสนิท โดยไม่ให้ด้านหน้าของรถยื่นเข้าไปในเขตถนนที่ขวางหน้าอยู่ แล้วมองทางด้านขวาว่ามีรถแล่นมาหรือไม่ ถ้าไม่มีรถแล่นมา หรือมีแต่อยู่ในระยะไกลมาก คุณสามารถเลี้ยวซ้ายได้ทัน โดยไม่ทำให้รถคันนั้นต้องเบรค คุณก็คงเลี้ยวซ้ายไปด้วยความมั่นใจ เพราะปฏิบัติถูกต้องทุกอย่าง อะไรจะเกิดขึ้นครับ ถ้ามีรถแล่นมาจากทางด้านซ้ายทั้ง 2 เลน หรือเลนเดียวแต่เป็นเลนที่คุณกำลังเลี้ยวเข้าไปโดยไม่ทราบว่ามันเป็นถนน ONE-WAY
ลองดูตัวอย่างที่ 2 ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปในกรุงเทพ ฯ และเมืองใหญ่เหมือนตัวอย่างแรกครับ คุณขับรถมาบนถนนสายหลัก และจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหนึ่ง ซึ่งคุณไม่เคยใช้มาก่อน และเป็นถนน ONE-WAY สำหรับให้รถแล่นสวนออกมาสู่ถนนสายหลักที่คุณกำลังใช้อยู่ คุณไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากลดความเร็ว จนเหมาะสำหรับการเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนี้ คุณปฏิบัติถูกต้องทุกอย่าง เพื่อเลี้ยวเข้าไปชน หรือเกือบชนแล้วถูกด่าโดยรถที่กำลังขับสวนออกมาในเลนเดียวกับที่คุณกำลังเลี้ยวเข้าไป มีความเป็นไปได้พอๆ กัน ว่าตรงปากทางไม่มีป้ายบอกเลยว่าเป็นถนน ONE-WAY หรืออาจมี แต่ตั้งไว้ตรงมุมพอดี เป็นป้ายแดงคาดแถบขาว ที่คุณไม่มีวันได้เห็น นอกจากเกิดอุบัติเหตุแล้ว หรือเบรคทัน และถูกด่าว่าโง่เง่าเรียบร้อยไปแล้ว เพราะไอ้ปัญญาอ่อนมันปักป้ายหันหน้าไปในแนวเดียวกับซอยที่คุณเลี้ยวเข้าไป สิ่งที่คุณเห็นก่อนเลี้ยวซ้าย คือ เสากับขอบของแผ่นป้ายบางเฉียบแค่ 1 มม. เท่านั้น หรือไม่คุณก็ไม่เห็นเลย เพราะป้ายถูกตั้งไว้ในถนนที่คุณจะเลี้ยวเข้าไป
ได้เวลาที่ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ของกทม. และทุกจังหวัดที่มีถนน ONE-WAY จะจัดการให้ถูกต้องและปลอดภัยแล้วครับ ผมอยากลองถามความเห็นเรื่องนี้จากผู้ใช้รถจำนวนมากพอสมควร มีคำตอบที่เกือบจะเหมือนกันหมด ซึ่งก็คือ "อย่าไปหวังอะไรจากข้าราชการไทยเลย ถ้าจะให้มีการตื่นตัวเรื่องนี้ ก็คงต้องรอให้ไอ้พวกลูกนักการเมืองมันถูกชนตายบนถนน ONE-WAY เสียก่อน"
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88338