ระหว่างเพื่อน
อัครศิลปิน
ประเทศไทย คือ ราชอาณาจักรแห่งความมหัศจรรย์ คนไทยได้รับความสงบสุขร่มเย็นอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์ทรงยึดมั่นในความเป็นธรรมราชา ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัย พระวรกาย ตลอดจนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ด้วยพระเมตตาคุณต่ออาณาประชาราษฎร์ ทรงปลดเปลื้องทั้งความทุกข์ และยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของพสกนิกรให้สูงขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงมีพระชนมพรรษาครบ 85 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ผู้เขียนขอนำเสนอบางเรื่องบางตอนขององค์พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นดวงมณี ดวงประทีป และดวงใจของพสกนิกรชาวไทยทุกคน สถาบันพระมหากษัตริย์มีความผูกพันกับสังคมไทยมายาวนาน องค์พระมหากษัตริย์แต่กาลครั้งกระโน้น ทรงนำประชาชนสร้างบ้านแปงเมือง สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงจนเป็นสยามประเทศ ทรงปกป้องแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรู ทรงปกครองราชอาณาจักรให้ร่มเย็นเป็นสุข ลุถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี ทรงยึดมั่นกับความเป็นธรรมราชา โดยเฉพาะ ทศพิธราชธรรม หลักธรรมพระพุทธศาสนาสำหรับพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่าง ให้พสกนิกรประพฤติปฏิบัติตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ในการแก้ปัญหาต่างๆ นานัปการรอบด้าน ทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม ทั้งปัญหาน้ำท่วม ปัญหาภัยแล้ง ฯลฯ พระองค์เสด็จ ฯ พบประชาชนของพระองค์ทั่วประเทศอย่างใกล้ชิดโดยทั่วถึง และทรงมีแนวพระราชดำริ ให้รับไปดำเนินการจนสามารถแก้ปัญหาสำเร็จลุล่วง ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อความสุขของมหาชนชาวสยามประเทศ ทรงซื่อตรงต่อหน้าที่พระมหากษัตริย์และจริงใจต่อพสกนิกร ทรงอ่อนน้อมพระองค์ลงสู่ราษฏรดังพระราชดำรัสที่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือ การได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือ คนไทยทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงปฏิบัติ ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมที่พระพุทธศาสนากำหนดไว้สำหรับพระมหากษัตริย์ โดยครบถ้วน อย่างจริงจังและสม่ำเสมอ จนเกิดสถานะใหม่ของพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ ไม่เหลือช่องว่างระหว่างกษัตริย์กับราษฎร เป็นความใกล้ชิดที่ผูกพันด้วยความรัก ภักดีด้วยจิตใจ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงหาที่สุดมิได้ ศาสตราจารย์พิเศษ ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา เล่าความตอนหนึ่งไว้ในบทความหัวข้อ ความหนักของพระมหามงกุฎ จากหนังสือ 72 พรรษา พระบรมราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์ ว่า ...เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2514 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ บนพระราชบัลลังก์ ภายใต้ พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เสด็จออกมหาสมาคมทรงรับคำถวายชัยมงคล ในมหามงคลสมัยเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 25 ปี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต้นไม้ทอง เงิน ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยถ้อยคำอันเป็นที่น่าจับใจยิ่งตอนหนึ่ง ความว่า ...เมื่อ 25 ปีโพ้น ต่อหน้ามหาสมาคมกอปรด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎร พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ และข้าราชการผู้ใหญ่ พระราชาพระองค์หนึ่งตรัสมีความโดยสังเขปว่า ...ข้าพเจ้าขอขอบใจที่ได้มอบราชสมบัติให้ ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และเพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ขอให้ท่านจงช่วยร่วมกันทำดังกล่าว... แล้วก็เสด็จก้าวไปจากมหาสมาคมนั้น ครั้นแล้วก็ทรงหันกลับมาใหม่ แล้วตรัสอย่างหนักหน่วงว่า ...และด้วยใจสุจริต พระมหากษัตริย์พระองค์นั้น คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดวงมณี ดวงประทีป และดวงใจของมวลชนชาวไทย พระราชกระแสรับสั่งและสีพระพักตร์ตอนที่รับสั่งนั้น เป็นที่ซาบซึ้งจับจิตและตื้นตันใจ ผู้ที่มีวาสนาได้เห็นได้ฟังอย่างยากยิ่ง ที่จะพรรณนาให้ถูกต้องได้ เพราะว่า ประการแรก ขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 18 พรรษา อีกทั้งขณะนั้นเป็นยามที่ตื่นตระหนกและยามเศร้าหมอง อย่างที่พระมหากษัตริย์ หรือบุคคลใดจะพึงกำลังเผชิญในชีวิต อีกทั้งเป็นเวลาที่บ้านเมืองกำลังปั่นป่วน มิอาจที่จะทรงทราบหรือทรงเดาได้ว่า เหตุการณ์ภายในประเทศต่อไป แม้เพียงในชั่วโมงข้างหน้า วันหน้า จะเป็นอย่างไร ประการที่สอง พระราชกระแสและพระสุรเสียง ตลอดจนสีพระพักตร์ในขณะที่รับสั่งนั้น แสดงถึงความจริงจัง ความแน่ชัด และความเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าเป็นพระราชกระแสรับสั่งที่มาจากเบื้องลึกสุดของพระราชหฤทัย จึงเป็นราชปฏิภาณที่แน่นอนและเด่นชัด และเห็นได้ว่า เป็นพระราชดำรัสที่รับสั่งโดยมิได้ทรงตระเตรียม แต่ง หรือเขียนไว้ก่อน จึงไม่มีผู้ใดได้เตรียมบันทึกพระราชกระแสนั้นไว้... นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ต่อการทรงงาน ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม จนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ในโลกนี้ ยังมีพระมหากษัตริย์อยู่เพียงพระองค์เดียว ที่ทรงทุ่มเทงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกร ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยด้วยพระองค์เองเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร์ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนของพระองค์ทั่วทุกภาคนั้น ทรงเปิดโอกาสให้ราษฎรเข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด ทรงใฝ่พระราชหฤทัยกับความเป็นอยู่และการทำมาหากินของพสกนิกร ทรงไต่ถามถึงความทุกข์สุขด้วยพระองค์เอง ทำให้มีพระราชหฤทัยผูกพันกับความทุกข์สุขของราษฎร จากนั้นมา โครงการส่วนพระองค์ โครงการพระราชดำริ โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ต่างๆ อันล้วนแต่เป็นโครงการพัฒนาเพื่อการแก้ปัญหาให้กับประชาชนของพระองค์ ได้พรั่งพรูออกมาประดุจสายน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง โอกาสนี้ ผู้เขียนใคร่ขออัญเชิญ พระราชเสาวนีย์ ของ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ตอนหนึ่ง ดังนี้ "พระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้า ไม่พึงพอใจกับการที่เพียงแต่เยี่ยมเยียนราษฎร หรือเพียงแต่ทำสิ่งที่เคยทำกันเป็นประเพณี เราต้องพยายามดีกว่านั้น เราต้องพยายามช่วยรัฐบาลส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เพราะเราเป็นประเทศด้อยพัฒนา" "ดังนั้น การแต่เพียงไปเยี่ยมราษฎร เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ ที่ประมุขของประเทศจะต้องกระทำตามประเพณีนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ" หากเราไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบรรเทาทุกข์ยากของประชาชนแล้ว เราก็ต้องถือว่า การเป็นประมุขของประเทศประสบความล้มเหลว... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยงานศิลปะด้านจิตรกรรมมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะที่ทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาศาสตร์แห่งด้านวิจิตรศิลป์ด้วยพระองค์เอง โดยทรงศึกษาจากตำราศิลปะที่ทรงซื้อเอง และที่มีผู้ทูลเกล้า ฯ ถวาย ทรงฝึกเขียนภาพจิตรกรรม หากพระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยผลงานของศิลปินคนใด ก็จะเสด็จ ฯ ไปเยี่ยมศิลปินผู้นั้นบ่อยๆ เพื่อมีพระราชปฏิสันถารและทอดพระเนตรวิธีทำงานของศิลปินผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้สี การผสมสี ตลอดจนเทคนิควิธีการต่างๆ เมื่อเข้าพระราชหฤทัยอย่างถ่องแท้แล้ว ก็ทรงนำวิธีการเหล่านั้นมาฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกลับมาสนพระราชหฤทัยเรื่องการวาดภาพใหม่ ทรงเริ่มอย่างจริงจังและต่อเนื่องในช่วง ปี 2502-2510 ทรงโปรดให้มีพระราชปฏิสันถารกับศิลปินร่วมสมัยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ศิลปินไทยที่มีโอกาสเข้าเฝ้า ฯ ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในระยะนั้น เช่น เหม เวชกร, เขียน ยิ้มศิริ, จำรัส เกียรติก้อง, เฟื้อ หริพิทักษ์, ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์, ทวี นันทขว้าง, อวบ สาณะเสน, เฉลิม นาคีรักษ์, จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์, พิริยะ ไกรฤกษ์, ลาวัลย์ ดาวราย, และหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ เป็นต้น ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างงานจิตรกรรมไว้ถึง 167 ภาพ ทั้งภาพเหมือน (PORTRAIT) ภาพแบบเอกซ์เพรสชันนิซึม (EXPRESSIONISM) ภาพแบบคิวบิซึม (CUBISM) ภาพแบบนามธรรม (ABSTRACT) และภาพแบบกึ่งนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระราชสมัญญา อัครศิลปิน ไว้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปี 2529 และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาท ตอนหนึ่ง มีความว่า ดังนี้ คนที่ทำงานศิลปะก็ต้องรู้เรื่องวิชาการ และรู้หลักทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้เป็นแบบแผนต่างๆ ต่อไป งานวิชาการก็ทำนองเดียวกัน จะต้องรู้หลักวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ต้องมีใจทางศิลปะจึงจะสามารถพัฒนางานนั้นให้ดีไปได้ และในทางวิทยาศาสตร์ก็ทำนองเดียวกัน ต้องมีความรู้ด้านวิชาการและต้องมีใจรัก ตั้งใจทำอะไรให้ดีขึ้น สรุปว่าทั้ง 3 ส่วนเป็นความสำคัญ ซึ่งต้องเกี่ยวเนื่องกัน งานศิลปะมีความสำคัญต่องานทั้งปวง ศิลปินเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ สมควรจะยกย่องเชิดชูเกียรติต่อไป...
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ระหว่างเพื่อน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87920