แนะนำเพลง
ดูหนังฟังเพลง
THE FLOWERS OF WAR
"กลีบดอกกลางนานกิง"
จอห์น คือ สัปเหร่อขี้เมาไม่เอาอ่าว เขาต้องทำศพให้บาทหลวงที่เสียชีวิตกลางเมืองหลวงของจีน เมื่อไปถึงเขาก็ต้องเผชิญกับความโหดร้ายที่ยังไม่จบสิ้น ตัวเขาเองนอกจากจะเอาชีวิตเกือบไม่รอด ยังต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับเด็กๆ อีก 10 กว่าคนในโบสถ์คาทอลิค ท่ามกลางไฟสงครามแห่งเมืองนานกิง และเด็กๆ เหล่านี้นี่เอง ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพันตรีลี่ ทหารจีนคนสุดท้ายในพื้นที่ กับพลทหารอีก 10 กว่านาย ซึ่งยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเด็กๆ ก่อนจะถูกทหารญี่ปุ่นไล่ฆ่าจนสิ้นชีพ เหลือก็แต่สัปเหร่อ จอห์น ซึ่งได้หยิบฉวยเอาชุดพระมาใส่ด้วยความคะนอง
คนเห็นแก่เงินและจ้องแต่จะหาความสุขทุกชั่วยามอย่างเขา นอกจากจะติดอยู่ในสงครามเพราะความโลภแล้ว ยังต้องมาเผชิญกับความป่าเถื่อนที่ไม่อาจทัดทาน ซ้ำร้ายโบสถ์ที่ใช้หลบซ่อนยังต้องมาเปิดรับเหล่าหญิงนางโลมอีก 10 กว่าคน ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นก็หื่นกระหายไล่ล่าอย่างผิดมนุษย์
ท่ามกลางความเป็นและความตาย เมื่อมองดูภาพรวมในฐานะคนนอก เราอาจตัดสินใจทำอะไรได้ง่ายๆ แต่เมื่อเราเป็นคนใน อะไรๆ ก็ดูไม่ยุติธรรมไปหมด ชีวิตผู้หญิงขายตัว กับเด็กหญิงเคร่งศาสนา อย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน ? มันก็ตอบไม่ได้ เลือกทางไหนก็มีแต่ตาย ซ้ำยังตายอย่างโหดร้ายทารุณ น้ำตาของใครมันก็เค็มเข้มข้นเหมือนกันทั้งนั้น...
นี่เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากแรงบันดาลใจในเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่แสนจะสะเทือนขวัญ บางตอนอาจติดขัดสะดุดใจไปบ้าง แต่หากบางตอนนั้นสามารถรีดน้ำตาคนใจแข็งเอาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะหากเราได้รับรู้ความจริงของสงคราม และภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า...
- THE FLOWERS OF WAR ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง 13 FLOWERS OF NANJING มีฉากหลังในปี 1937 ซึ่งญี่ปุ่นกำลังบุกเมืองหลวงของจีน (ขณะนั้น คือ เมืองนานกิง) ในสงคราม SECOND SINO-JAPANESE WAR ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมกับเยอรมนี เป็นฝ่ายอักษะ สู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตร
- คาดการณ์กันว่าน่าจะมี "ผู้ถูกฆ่าตาย" จากสงครามนี้ราวๆ 250,000 ถึง 300,000 คน ศาลทหารระหว่างประเทศแห่งตะวันออกไกล คาดว่า 20,000 คน คือ ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน ในจำนวนนี้มีหลายรายที่ถูกทารุณถึงขั้นวิปริตก่อนโดนฆ่า จนชาวโลกขนานนามว่าเป็น THE RAPE OF NANJING ที่ยากจะลืมเลือน
- THE FLOWERS OF WAR ใช้ทุนสร้างสูงสุดในประวัติศาสตร์จีน คือ 94 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เท่ากับค่าเงินจีนราวๆ 564 ล้านหยวน แต่กวาดรายได้ไปประมาณ 488 ล้านหยวน ในปีที่แล้ว ออกฉายในจีนครั้งแรก หลังการครบรอบปีที่ 74 ของการสังหารหมู่นานกิง เพียงไม่กี่วัน
- 4 วันแรก ทำรายได้รวม 144 ล้านหยวน ติดอันดับหนังทำเงินของจีน ในขณะที่จีนก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริโภคภาพยนตร์ขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ด้วยเม็ดเงินกว่า 13,000 ล้านหยวน เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น แต่รายได้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของหนังจากฮอลลีวูด
- และในปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นตัวแทนจากประเทศจีน เพื่อส่งเข้าชิงรางวัล "ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม" บนเวทีออสการ์ ทั้งยังได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในปีเดียวกันอีกด้วย
- บนเวทีอาเซียน ฟีล์ม อวอร์ด THE FLOWERS OF WAR เข้าชิง 6 สาขา แต่ได้รับรางวัลเดียว คือ สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ซึ่งผู้แสดง คือ นีนี่ ว่ากันว่าเธอน่าจะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ต่อจาก กงลี่ และจางซิยี่ โดยการปั้นของผู้กำกับจางอี้โหมว
- เมื่อครั้งจางอี้โหมว ถาม สตีเวน สปีลเบิร์ก ว่าให้ช่วยแนะนำนักแสดงในหนังเรื่องนี้ "คริสเตียน เบล" คือ นักแสดงที่ถูกแนะนำ เนื่องจากเมื่อครั้งยังเด็ก เขารับบทเป็นนักแสดงในภาพยนตร์ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก เรื่อง EMPIRE OF THE SUN ซึ่งว่าด้วยเด็กชายผู้ติดอยู่ในค่ายกักกันที่เมืองจีน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการรุกรานของญี่ปุ่นนั่นเอง...
ศิลปิน : SAM SPARRO
อัลบัม : RETURN TO PARADISE
แนวดนตรี : ELECTRO-POP
สนุก ! (อย่างไม่เป็นทางการ)
ระหว่างทางเดินกลับไปมาภายใต้พื้นที่บ้านไม่กี่ 10 ตารางเมตร คนนิยมดื่มหากไม่ง่วนอยู่กับเกมกีฬาบนหน้าจอทีวี เขาก็กำลังใช้สายตาคัดสรรดนตรีดีๆ ประเภทแจซซ์งงงวย และรอคไหลลื่น ดิบและเถื่อน หรือ พอพใสๆ ฟังแล้วเหงาใจ คิดถึงคนที่เคยมอบความเป็นภรรยาให้ในวันวานอะไรประมาณนี้ สุดแสนจะดีเลิศประเสริฐแท้ แต่ไม่ใช่สำหรับบางคืนที่เหนื่อยหน่าย กระทั่งอยากจะเดินออกจากบ้านไปนั่งฟังเพลงในรถ ชื่นชมเครื่องเสียงดีๆ บนถนนที่ไม่มีแม้แต่เส้นแบ่งของซ้ายและขวา !
ไอ้หนุ่มจากเมืองจิงโจ้ แซม สแปร์โร เขาไม่ได้เป็นอะไรกับกัปตันแจค สแปร์โร เพียงแต่ชื่นชอบชื่อนี้เลยหยิบยืมมาตั้งเป็นนามบนหน้าปกอัลบัม และเปล่า...เขาไม่ได้ยืมมันมาจากหนังโจรสลัดเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน
ผลงานเพลง 2 อัลบัม ซึ่งผุดขึ้นมาบนสารบบดนตรีตั้งแต่เมื่อปี 2008 หลายเพลงใช้ได้ดี สำหรับการเปิดในบ้านหลังละเกือบสิบล้าน (แหม...ก็รวมดอกเบี้ยไป 50 ปี) แล้วเอ่ยปากเรียกเพื่อนฝูงมาเล่นเกมไพ่ใครโง่ใครฉลาด พลางจิบเครื่องดื่มตระกูล WHITE SPIRIT ใสแจ๋วแต่หอมเฝื่อน แกล้มกับมะนาวฝานคลุกเกลือ
เพลงของเขาแม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีตัวแทนจำหน่ายในไทย (อย่างเป็นทางการ) แต่ทว่าคุ้นหูคนไทย และถูกจริตอย่างว่าน่าชวนสาวๆ เต้นรำในวันเงินเดือนออก...
อัลบัมแรก BLACK & GOLD ข้ามทวีปไปเข้าชิงรางวัลแกรมมีที่สหรัฐอเมริกา สาขา BEST DANCE RECORDING มีเพลงที่น่าเปิดตอนสตาร์ทรถออกจากบาร์พร้อมสาวๆ หลายเพลง เพลงชื่อเดียวกับอัลบัม BLACK & GOLD ก็เข้าท่า POCKET ก็เป็นอีก 1 เพลงที่ถูกพโรโมทจนเข้าหู เปล่าประชด...เพลงมันก็น่าฟังอยู่แล้วด้วย
และหลังจากที่ผู้คนหลงมัวเมาไปกับดนตรีอีกหลายล้านบนโลกยุคดิจิทอล แต่หากนับเป็นงวดรถก็จะได้ประมาณเกือบ 50 งวด ไอ้หนุ่ม แซม สแปร์โร ก็โผล่หน้ามาอีกครั้ง พร้อมผลงานเพลงชุดใหม่ RETURN TO PARADISE (ปี 2012)
จากหนุ่มหน้ามน ตอนนี้ก็หัดไว้หนวดแหลมปรกเหนือปาก และเล็มอย่างประณีต ประมาณว่ายักยิ้มที่ริมฝีปากพลางกระดกแก้วแล้วเหล้าไม่เปื้อนหนวดเลย เช่นเดียวกับงานเพลงของเขา แม้เจ้าตัวจะบอกกับนักข่าวว่า มันออกแนว GARAGE DISCO FUNK (คือ เล่นและอัดกันในโรงรถพ่อ เมีย หรือแม่ยายก็ตามเหอะ ในยุค '70) แต่ฟังแล้วมันก็ร่วมสมัย ละเมียดละไมไม่รุ่มร่าม กูรูบางคนจึงรีบปีนกระแส พลางสบถลั่นหน้าเฟศบุคของเขาว่า ดิสโกจะกลับมาแล้ว !
แซม สแปร์โร ไอ้หนุ่มคนนี้เป็นทั้งนักร้องนักแต่งเพลง และถนัดที่สุดก็คือ การกดคีย์บอร์ด เกิดที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย แต่ก็ย่ำมาแล้วทั้งลอสแองเจลิส และลอนดอน อัลบัมชุดใหม่ เขาออกปากว่าคิดถึงสรวงสวรรค์ และมันคือ สวรรค์ในวัยเยาว์ ยุคที่สีขาวดำยังปกคลุมทุกสิ่ง และชีวิตก็ดูเรียบง่ายเชื่องช้า ทว่าสุดแสนจะสุนทรีย์ในลีลาดิสโก หลายเสียงให้ความเห็นว่ามันมีทั้งโซล และพอพ ทั้งอีเลคทรอและฟังค์ อย่างไรก็ตาม แล้วแต่ผู้อ่านจะเจริญหูฟังกันเอาเองเถิด !
ABOUT THE AUTHOR
ก
กองบรรณาธิการ carstereo
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง