แนะนำเพลง
ดูหนังฟังเพลง
EXTREMELY LOUD & INCREDIBLY CLOSE
"เมื่อความตายใกล้จนฟังไม่รู้เรื่อง"
เมื่อความตายเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงอื้ออึง...หลายคนร้องไห้อย่างสิ้นหวัง บางคนปวดร้าว บางคนสับสน และอีกหลายๆ คนแสดงอาการแตกต่างกันออกไป เมื่อสิ้นเสียงของความตายกรรโชกใส่ และเมื่อหมอกควันจางลง จนเห็นสิ่งที่เหลืออยู่ยืนท่ามกลางสะพานแห่งชีวิต นั่นละคือ หัวใจหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้
เพราะเมื่อเด็กชาย ออสการ์ สูญเสียพ่อให้กับเหตุการณ์ 911 วินาทีที่เครื่องบินถูกจี้ไปชนกับตึกเวิร์ลด์เทรดกลางเมืองนิวยอร์ค หลายนาทีต่อจากนั้น เขาทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่การเดินไปรับโทรศัพท์ หลังจากนั้นสมองบางส่วนของเขาก็สั่งการให้ไม่เข้าใจในทุกสิ่งอย่าง อาทิ คนที่มางานศพพ่อ ไม่รู้หรือไงว่าในโลงไม่มีร่างพ่อ มันเป็นแค่โลงเปล่าๆ...ออสการ์ เฝ้าถามคำถามนี้กับแม่และย่า
และในขณะที่ทุกคนก็สูญเสียจนไม่สามารถควบคุมตนเองให้อยู่กับสิ่งที่เหลือได้ ออสการ์ เลือกที่จะเชื่อทฤษฎีการเดินทางของแสง ว่าแสงจากดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลกใช้เวลาประมาณ 8 นาที ถ้าพ่อตายไปจากตรงนั้น เขาก็อาจจะเหนี่ยวรั้งเวลาให้พ่ออยู่กับเขาไว้ได้อีกไม่น้อย ออสการ์จึงเริ่มที่จะไม่หยุดค้นหาหนทางนั้น ตามคำสอนของพ่อ "อย่าหยุดค้นหา"
ในที่สุดเด็กชาย ออสการ์ ผู้ซึ่งเป็นโรคกลัวหลายสิ่งหลายอย่าง เขากลัวชิงช้า สะพาน เสียงดัง กลัวคนที่กำลังแหงนมองท้องฟ้า ฯลฯ ก็ซุกซนจนไปเจอกุญแจดอกหนึ่งในตู้เสื้อผ้าของพ่อ เขาเริ่มออกค้นหาสิ่งที่ใช้เจ้ากุญแจดอกนี้ไข ว่าง่ายๆ มีกุญแจก็ต้องมีลอค ให้บังเอิญว่าหน้าซองกุญแจมีชื่อคน ออสการ์ ก็เลยเชื่อว่า มีชื่องั้นก็ต้องมีเจ้าของด้วย เขาจึงเริ่มออกตามหาเจ้าของกุญแจ
เขานำสมุดรายนามโทรศัพท์มาค้นหาคนซึ่งมีชื่อดังกล่าว ประมาณหลายร้อยชื่อนั้นกระจัดกระจายกันอยู่ในเมือง ซึ่งเขาแบ่งโซนหาไว้แล้วว่า ถ้าใช้เวลาช่วงเสาร์-อาทิตย์ นอกเวลาเรียน เขาจะใช้เวลาถึง 3 ปีด้วยกัน ออสการ์ เริ่มวางแผนอย่างเป็นระบบ เขาออกเดินทางพร้อมแผนที่ กล้องถ่ายรูป หน้ากากกันแกสพิษ ที่ย่าซื้อให้เมื่อวันเกิดเหตุการณ์ 911 และความกล้าที่จะเดินเข้าไปหาคนที่ไม่เคยรู้จัก แล้วซักถามว่าพอจะรู้จักพ่อและกุญแจดอกนี้บ้างไหม
แน่นอนว่า ออสการ์ ได้รับอานิสงส์การเป็นคนเช่นนี้มาจากพ่อ ซึ่งพ่อของเขามักจะสอนให้คิดและเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ออสการ์มีความรู้สึกชื่นชมพ่อของเขามาก โดยเฉพาะเรื่องที่พ่อไม่เคยใช้คำพูดกับเขาเหมือนเขาเป็นเด็กเลย แต่กระนั้นเขาก็ยังพกความกลัวต่อทุกๆ สิ่งในเมืองใหญ่ไปด้วย ที่ดูน่ากังวลมากที่สุด คือ เขาไม่ขึ้นรถสาธารณะ เพราะกลัวว่าอาจจะมีระเบิดอยู่ในนั้น !
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีที่มาจากนิยายของ โจนาธาน ซาฟราน โฟร์ (ผู้เขียน EVERYTHING IS ILLUMINATED) หนังสือออกในช่วงปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนเริ่มเปิดใจยอมรับเหตการณ์ 911 แล้วว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ แต่มันก็ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ที่ใครจะอยากจี้เครื่องบินให้ขับไปชนตึก ซึ่งจะทำให้มีคนตายเป็นพันๆ
ตัวหนังสือเองมีการใช้เทคนิคและภาพประกอบมากมายเข้ามาสร้างความน่าสนใจ กระทั่งการเล่าผ่าน 3 มุมมอง อันได้แก่ ปู่ ย่า และออสการ์ เรียกได้ว่า เป็นนิยายที่มีลูกเล่นแพรวพราว และเมื่อมาเป็นภาพยนตร์ สตีเฟน ดัลดรีย์ (ผู้กำกับ BILLY ELLIOT ปี 2000, THE HOURS ปี 2002, THE READER ปี 2008) ก็ทำมันออกมาอย่างน่าสนใจ แม้จะไม่เล่าเรื่องยอกย้อนผ่านมุมมองของตัวละครหลายตัวก็ตาม
หนังทำได้น่าติดตาม ทอม แฮงค์ มารับบทพ่อ ประมาณ 10 กว่านาทีแล้วตายไป ทิ้งไว้แต่ความทรงจำดีๆ ซานดรา บูลลอค มาเล่นเป็นแม่ที่สามีตาย แถมลูกชายก็ทำตัวเหมือนมีปัญหา ออกจากบ้านไปทุกสัปดาห์ เวลาถามก็ทำหน้านิ่ว หลายครั้งก็มีปากเสียงถึงขั้นอยากจะให้แม่ตายแทนพ่อ แมกซ์ ฟอน ซีโดว์ มารับบท ปู่ปริศนาที่พูดได้แต่ไม่ยอมพูด ใช้วิธีเขียนใส่กระดาษ มือซ้ายก็เขียนว่า YES มือขวาก็เขียนว่า NO
ส่วนตัวเอก ออสการ์ ได้เจ้าหนู ธอมัส ฮอร์น มาเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่ฝากฝีมือไว้เหลือร้าย ตัวเนื้อหาเรื่องของการตามหารูไขกุญแจ มันก็ดูสนุกดีไม่มีเบื่อ เป็นหนังออกแนวดรามาครอบครัว เมื่อใครคนหนึ่งตาย คนที่เหลือก็ต้องช่วยกันเยียวยา ผ่านมันไปให้ได้ แม้ว่าความตายนั้นมันจะใกล้ซะจนฟังอะไรไม่รู้เรื่องก็ตาม...
ศิลปิน : JASON MRAZ
อัลบัม : LOVE IS A FOUR LETTER WORD
แนวดนตรี : POP
"ความรัก"...บทจะมาก็ง่าย บทจะไปก็ยาก
วางแผงไปเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา กับอัลบัมที่คอเพลง EASY POP รอคอย ผลงานลำดับที่ 4 ของผู้ชายอารมณ์ดีที่มีเสียงดนตรีง่ายๆ เป็นเอกลักษณ์ JASON MRAZ ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกับความคุ้มค่าที่มากกว่าเพลงดัง แต่เป็น 10 กว่าเพลงที่ล้วนไพเราะ และโดนใจทั้งอัลบัมก็ว่าได้
หลังจากที่ปล่อยให้แฟนเพลงรู้จักเขาในเพลง I'M YOURS เพลงเอกที่สร้างสถิติติดชาร์ทบิลล์บอร์ดยาวนานถึง 76 สัปดาห์ นานที่สุดในรอบ 51 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ปล่อย LUCKY เพลงสวยๆ ที่ร้องคู่กับนักร้องสาวเสียงใส COLBIE CAILLAT ให้ติดหูคนฟัง ตามด้วยเพลงเร็วอย่าง MAKE IT MINE 3 เพลงเอกที่ทำให้ JASON MRAZ โด่งดัง จนถึงขั้นจะเดินทางมาเปิดคอนเสิร์ทในเมืองไทย
แต่กาลกลับไม่ประจวบเหมาะเป็นใจ น้ำท่าเหมือนจะกลั่นแกล้งให้ท่วมบ้านเรือนเมืองไทยครั้งใหญ่มโหฬาร เหมือนจะนานกว่าเพลงที่ติดอยู่บนชาร์ทบิลล์บอร์ดด้วยซ้ำ มหาอุทกภัยครั้งนั้นทำให้ JASON MRAZ และผู้จัด ประกาศยกเลิกคอนเสิร์ทไป ได้แต่บอกว่าวันหนึ่งเราจะมาพบกันอย่างแน่นอน
- อ้างจากประกาศแจ้งเตือน สถานการณ์อุทกภัยโดยกรุงเทพมหานคร...ทางบีอีซี-เทโร และศิลปินต่างก็คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ชมเป็นสำคัญ บริษัท ฯ จึงขอแจ้งยกเลิกการจัดงาน ซึ่งเดิมจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2554 ที่โบนันซา เขาใหญ่
ครั้งนั้น JASON MRAZ กล่าวว่า ถึงแม้จะเสียดายและผิดหวัง แต่ความปลอดภัยและความสะดวกของผู้ชมต้องมาก่อน ในโอกาสนี้ก็ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่เมืองไทยด้วยนะครับ ขอให้ปลอดภัย อดทน และเข้มแข็ง ผมภาวนาให้แฟนๆ ของผมและคนไทย สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปให้ได้ แล้วผมจะกลับมาพบกับทุกคนที่เมืองไทยเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
เป็นอันว่าใครที่กำบัตรรอไปชมพรสวรรค์ทางดนตรีของ JASON MRAZ ในครั้งนั้น ก็เป็นอันแห้วไปตามอัตภาพการจัดการน้ำของเมืองไทย แต่ใครเลยจะรู้ว่าคำว่า "เร็วๆ นี้" ของเขา จะมาถึงรวดเร็วเอาเพียงนี้ เพราะในวันที่ 16 มิถุนายน 2555 นี้เอง เขาจะกลับมาจัดคอนเสิร์ทเต็มรูปแบบครั้งใหญ่ ให้แฟนๆ ได้ชมสมการรอคอย
คอนเสิร์ทครั้งนี้จะจัดขึ้นที่ อิมแพคท์ เอรีนา เมืองทองธานี ในชื่อว่า JASON MRAZ TOUR IS A FOUR LETTER WORD ซึ่งเป็นเวิร์ลด์ทัวร์ พโรโมทอัลบัมชุด 4 ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ และเป็นทัวร์คอนเสิร์ททั่วโลกโดยมีชื่อ BANGKOK ติดโผเข้าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เปิดจำหน่ายบัตรปลายเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ในราคาตั้งแต่ 1,000 จนถึง 4,000 บาท
ส่วนตัวอัลบัม LOVE IS A FOUR LETTER WORD ก็เป็นงานที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยตั้งใจมอบให้แฟนเพลงเป็นของขวัญ ตอบแทนที่ให้การตอบรับเพลงของเขาในอัลบัมที่ผ่านมาอย่างล้นหลาม ในอัลบัมเวอร์ชันทั่วไป จะบรรจุเพลงไว้ทั้งหมด 12 บทเพลงบนปก และแถมอีก 1 เพลงที่ไม่ปรากฏรายชื่อ (แต่ซ่อนไว้ในทแรค) ซึ่งเพลงที่ถูกซ่อนไว้จะเรียกกันว่า ฮิดเดน ทแรค (HIDDEN TRACK) ในอัลบัมนี้มันคือ เพลง I'M COMING OVER เพลงเบาๆ ที่จะส่งคุณเข้านอนในตอนท้ายสุด
แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเพลงตัวจริงของเขา แนะนำให้ไปร้านหนังสือ B2S ซื้ออัลบัมนี้ในเวอร์ชัน DELUXE EDITION ซึ่งจะมีเพลงเพิ่มขึ้นมาอีก 5 เพลงด้วยกัน และที่ต้องไปร้าน B2S ก็เพราะว่า เวอร์ชันนี้เขาผูกขาดเอกสิทธิ์พิเศษให้ขายที่นี่เท่านั้น ซึ่งถ้าบังเอิญว่าไม่ชอบเดินทางและไม่ชอบสะสมแผ่น เปิดคอมพิวเตอร์แล้วคลิคเข้าไปที่คลัง ITUNES แค่นี้คุณก็จะเสียเงินสมใจอย่างรวดเร็ว
ซิงเกิลแรก I WON'T GIVE UP คือ เพลงช้าๆ ที่ปล่อยออกมากระแทกหูด้วยภาษาดนตรีที่เรียบง่าย เนื้อหาและทำนองสอดคล้องในมุมมองสวยงาม เรื่องราวว่าด้วยการไม่ย่อท้อหากจะ "รัก" ตามมาด้วย THE WORLD AS I SEE IT เพลงเร็วจังหวะกลางๆ นี่ก็ว่าด้วยความรัก แต่ทว่าเป็นความรักที่มันจะไม่ยากเลย หากเราเริ่มมองโลกใบนี้ด้วยมุมเดียวกัน มองให้มันเป็นบ้านของทุกคน แล้วเราทุกคนก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน
LOVE IS A FOUR LETTER WORD ถือเป็นการตกผลึกความรักที่ JASON MRAZ ได้รับมาจากแฟนเพลง ตลอดการออกทัวร์ยาวนานกว่า 2 ปี กับอัลบัมก่อนหน้า และนั่นทำให้เขามีวัตถุดิบชั้นดีที่ปราศจากอคติ ซึ่งจะมาบีบรัดให้เขาทำเพลงยากขึ้น และมันก็อาจจะทำให้เขาเดินออกนอกเส้นทางที่เคยเดินมา ซึ่งเราทั้งหลายรักที่จะได้ยินเสียงนั้น สุดท้ายทุกบทเพลงในอัลบัมนี้ก็จะทำให้คนฟังได้รับรู้ว่า ความรักที่เขาได้รับมอบมานั้น มันสวยงามเพียงใด และไม่ยากเลยที่ฟัง
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพโดย : อินเตอร์เนท
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87282