มาตรวัดตลาดรถ
ก้าวกระโดด
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายประจำเดือนพฤษภาคม ปี '55 กับ '54
ตลาดโดยรวม, + 105.2 รถยนต์นั่ง, + 133.2 กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ, + 80.4 กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ, + 431.6 รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV), + 64.6 รถอเนกประสงค์ (MPV), + 117.0 อื่นๆ, + 52.3เปรียบเทียบยอดจำหน่ายประจำเดือน มกราคม-พฤษภาคม ปี '55 กับ '54
ตลาดโดยรวม ,+ 32.2 รถยนต์นั่ง, + 17.7 กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ, + 36.0 กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ, + 237.5 รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV), + 43.2 รถอเนกประสงค์ (MPV) ,+ 76.5 อื่นๆ, + 21.6 [/table] เป็นที่ฮือฮาไปแล้วว่า ยอดการขายยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม เติบโตกันเป็นประวัติศาสตร์ของวงการ ขายได้เกิน 1 แสนคัน บันทึกเอาไว้เป็นเกียรติ ว่าขายได้เพิ่มขึ้น 105.2 % จำนวน 114,629 คัน ยอดรวม 5 เดือนเพิ่มอยู่ 32.2 % รวม 478,108 คัน ตัวเลขขายเกินล้านคันในปีนี้ เห็นท่าจะอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง มาดูภาพโดยรวมของเศรษฐกิจบ้านเรา ตัวเลขดัชนีจากภาครัฐ ตั้งแต่ ดัชนีการอุปโภคบริโภค และการลงทุน สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมที่เพิ่มขึ้น ภาคการผลิตเริ่มฟื้นตัว แม้ว่าภาคการส่งออกยังหดตัวลง เพราะความผันผวนทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ แต่ปัญหาที่กระเทือนไปทั่วโลก เห็นจะเป็นเรื่อง หนี้สาธารณะในยุโรป ที่ค่อนข้างกระทบผ่านทางการค้าระหว่างประเทศ ที่คำสั่งซื้อลดลง แต่ก็ไม่มากเท่าใดนัก เพราะเราค้ากับทางยุโรปยังน้อยอยู่ แต่ที่แน่ๆ ที่ค่อนข้างชื่นใจกับประเทศไทยเรา ก็คือ การที่ ธนาคารโลก จัดให้ไทยเป็นประเทศในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง (UPPER MIDDLE INCOME COUNTRY) อีกหน่อยน่าจะขึ้นถึง รายได้สูงระดับปานกลางนะเนี่ย หันมองทางราคาพลังงาน ความเสี่ยงก็น่าจะเป็นเรื่องของช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่ราคาน้ำมัน มีแนวโน้มลดลง เป็นผลดีต่อการปรับดุลสถานะของกองทุนน้ำมัน ที่มีสภาพติดลบอยู่ตอนนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในระยะ 4-5 เดือนนี้ อาจมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสถานะของกองทุนน้ำมันในระยะยาว โดยสรุป ก็คือ ผลกระทบจากวิกฤตในยุโรป จะกระทบบ้านเราน้อยมาก แต่เห็นมีการเตรียมการกันหลายกระทรวง ก็ดูว่า ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไร เพราะแนวโน้มของภาพรวมการส่งออก ยังสามารถขยายตัวได้ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มูลค่าค่อนข้างสูง ส่วนข่าวล่าสุด มาตรการของรัฐบาล ปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก ลดลงเหลืออัตราภาษี 0.005 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ลดลงเหลืออัตราภาษี 0.005 บาท/ลิตร ขยายอายุออกไปอีก จนถึง วันที่ 31 กรกฎาคม 2555 นโยบายประชานิยมหรือเปล่าเนี่ย แต่นโยบายเรื่องรถคันแรก ก็แบะท่าออกมาแล้ว ว่าไม่มีการขยายเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม นี้ แน่นอน แต่อาจขยายระยะเวลาในการส่งมอบรถยนต์ เพราะบริษัทรถยนต์อาจส่งมอบรถยนต์ล่าช้า ไม่สามารถส่งมอบรถได้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม เนื่องจาก ติดปัญหาน้ำท่วมในช่วงปี 2554 แต่ก็ย้ำว่า ผู้ที่จองซื้อกับผู้ที่รับโอนจะต้องเป็นคนเดียวกันจึงจะได้สิทธิลดภาษี หลวงท่านบอกว่า ผู้ที่ซื้อรถยนต์คันแรก น่าจะเกินเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ที่ 3 หมื่นคัน การคืนภาษีนั้นรัฐบาลก็ไม่ได้เสียใจอะไร แต่ยินดีกับผู้ซื้อที่ได้รถ ทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีปัจจัยที่ 6 มากขึ้น คนขายก็ได้ขายรถ อ้อ ท่านลืมบอกอีกอย่างหนึ่งว่า รถก็ติดมากขึ้น เอ๊ะ เกี่ยวกันไหมเนี่ย กลับมาถึงเรื่องมาตรวัดกันก่อน หนนี้ บรรดาผู้ผลิตที่ประสบปัญหาจากน้ำท่วม ค่อนข้างจะสามารถกลับมาเริ่มงานกันได้เข้าที่เข้าทางแล้ว ทำเอาตลาดเติบโตเดือนเดียว 105.2 % ขายเกินแสนคันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 114,629 คัน ทำเอายอดรวมเพิ่มอยู่ 32.2 % รวม 478,108 คัน แชมพ์ยอดขายประจำเดือนพฤษภาคม โตโยตา ขาย 43,644 คัน เพิ่มขึ้น 232.9 % ส่วนแบ่งตลาด 38.1 % อันดับที่สอง อีซูซุ ขาย 16,866 คัน เพิ่มขึ้น 29.8 % ส่วนแบ่ง 14.7 % อันดับสาม ฮอนดา ขายได้ 15,601 คัน เพิ่มมากกว่าเพื่อน 308.2 % ส่วนแบ่ง 13.6 % อันดับสี่ นิสสัน ขาย 10,126 คัน เพิ่ม 77.1 % ส่วนแบ่ง 8.8 % และอันดับห้า มิตซูบิชิ ขาย 8,588 คัน เพิ่ม 22.8 % ส่วนแบ่ง 7.5 % มาถึงประเภทรถยนต์นั่ง เติบโตมากกว่าตลาด โตถึง 133.2 % ขายกัน 52,018 คัน ยอดรวม 5 เดือนก็ยังเพิ่มอยู่ 17.7 % ขาย 182,717 คัน แชมพ์รถเก๋งได้แก่ โตโยตา ขาย 18,310 คัน เพิ่มขึ้น 195.2 % ส่วนแบ่ง 35.2 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 13,800 คัน เพิ่ม 303.7 % ส่วนแบ่ง 26.5 % ที่สาม นิสสัน ขาย 9,252 คัน เพิ่ม 127.9 % ส่วนแบ่ง 17.8 % ที่สี่ มาซดา ขาย 3,218 คัน เพิ่ม 24.1 % ส่วนแบ่ง 6.2 % และที่ห้า ฟอร์ด ขาย 2,258 คัน เพิ่ม 12.0 % ส่วนแบ่ง 4.3 % แยกประเภทรถ เอสยูวี โตขึ้นมา 64.6 % ขาย 6,574 คัน รวม 5 เดือนขาย 33,040 คัน โต 43.2 % โดยมี โตโยตา ขายมากสุด 2,548 คัน เพิ่ม 313.0 % ส่วนแบ่ง 38.8 % ที่สอง มิตซูบิชิ ขาย 1,860 คัน ลดลง 4.6 % ส่วนแบ่ง 28.3 % และที่สาม เชฟโรเลต์ ขาย 1,000 คัน เพิ่ม 231.1 % ส่วนแบ่ง 15.2 % รถประเภท เอมพีวี เดือนเดียวขายได้ 2,751 คัน โตถึง 117.0 % รวม 5 เดือนขาย 9,726 คัน ยังโตอยู่ 76.5 % โดยมี โตโยตา ขายไป 5,926 คัน เพิ่ม 74.5 % ส่วนแบ่ง 60.9 % ที่สองฮอนดา ขายได้ 2,890 คัน เพิ่ม 432.2 % ครองส่วนแบ่ง 29.7 % ที่สามยังเป็นของ ปโรตอน ขายได้ 578 คัน ลดลง 29.1 % ได้ส่วนแบ่งไป 5.9 % ผู้เสียภาษียอดเยี่ยม แจกวาร์ ขาย 4 คัน แฟร์รารี ขาย 3 คัน เอาดี 2 คัน และ มิตซูโอกะ 1 คัน ก็ขอแสดงความยินดีกับพนักงานในบริษัทรถยนต์ทั้งหลาย ล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแลยว่าโบนัสปีนี้ สวยหรูแน่นอน และคาดว่า คงจะไม่มีรายการหยุดงานประท้วงงดการผลิต ในช่วงปลายปีนี้ เพราะรายได้เข้าบริษัทมากมายแน่นอน หวังเอาไว้อย่างนั้นเรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87201