รู้ทันเทคนิค
อีโคบูสต์
การลดลงของเชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล มักสวนทางกับความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่มากขึ้น รถยนต์ถือเป็นตัวการสำคัญพอๆ กับภาคอุตสาหกรรม ในการปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศ ส่วนหนึ่งพัฒนารถยนต์เพื่อขายในช่วงเวลาอันใกล้ อีกส่วนหนึ่งก็พัฒนาเทคโนโลยีทางเลือกเพื่อการขับขี่ในอนาคต ซึ่งทีมผู้ออกแบบและคนในวงการรถยนต์ต่างรู้ดีว่า การใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนั้นย่อมมีวันหมด เนื่องจากน้ำมันใต้พื้นโลกนั้นร่อยหรอลงทุกที แต่หลายเทคโนโลยีนั้นยังห่างไกลความเป็นจริงอยู่มาก ดังนั้นเทคโนโลยีระยะสั้นทำให้สามารถพัฒนาต่อยอด เพื่อนำมาใช้งานได้ในเร็ววัน เพื่อให้ได้เครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง, ประหยัดน้ำมัน และมลพิษต่ำ
เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล
ปัจจุบันค่ายรถยนต์หลายค่ายหันมาพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีความจุน้อยลง นั่นก็เพราะว่าพื้นฐานของเครื่องยนต์เล็กจะประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเป็นทุนอยู่แล้ว การพัฒนาต่อยอดให้เครื่องยนต์เล็กมีสมรรถนะสูงขึ้นและกินน้ำมันไม่ต่างจากเดิมทำได้ไม่ยากนัก เนื่องจากเทคโนโลยีหลายๆ ด้านมีการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก เช่น เทคโนโลยีด้านโลหะวิทยา สามารถทำให้โลหะที่นำมาทำเสื้อสูบ, ฝาสูบ และส่วนอื่นๆ มีน้ำหนักเบาขึ้น มีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น ความทนทานก็มากกว่า เทคโนโลยีด้านระบบอีเลคทรอนิคก็ล้ำหน้าไปไกล สามารถจ่ายเชื้อเพลิงได้อย่างแม่นยำ ให้พลังได้อย่างเต็มที่
เครื่องเล็ก ที่ไม่เล็ก
เทคโนโลยีที่นำมาใช้เพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์ความจุน้อยๆ ก็คือ การใช้ระบบอัดอากาศ มีทั้งระบบซูเพอร์ชาร์จ และเทอร์โบชาร์จ เมื่อก่อนการนำระบบอัดอากาศเข้ามาใช้ มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งเรื่องความร้อน, การสึกหรอ, การดูแลรักษา แต่ปัจจุบันปัญหาเหล่านั้นได้รับการแก้ไขแล้ว ทำให้สามารถออกแบบเครื่องยนต์ความจุน้อยแต่มีสมรรถนะสูงได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างเช่น เทคโนโลยีล่าสุดของ ฟอร์ด ที่ใช้ชื่อว่า อีโคบูสต์ (ECO BOOST) พิกัดเครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงถึง 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 170 นิวตัน-เมตร สมรรถนะที่ได้มานั้นเทียบเท่ากับเครื่องยนต์พิกัด 1.6 ลิตรเลยทีเดียว เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร มี 3 สูบ ขนาดกะทัดรัดแต่ให้พลังขับเคลื่อนที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เพื่อให้เพียงพอต่อการขับเคลื่อนสำหรับรถยุคใหม่ ที่ต้องการพลังควบคู่ไปกับความประหยัดและก่อมลพิษน้อย ให้ประสิทธิภาพการขับขี่และการทำงานที่ราบรื่น มีอัตราเร่งทันใจ ที่สำคัญให้ความประหยัดอย่างน่าพอใจ เครื่องยนต์ตัวนี้ออกแบบสำหรับตลาดประเทศอินเดีย เพื่อบรรจุลงใน ฟอร์ด อีโคสปอร์ท ซึ่งกำลัง 120 แรงม้า กับแรงบิด 170 นิวตัน-เมตร ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานสำหรับรถลักษณะนี้ เมื่อดูลักษณะตัวรถแล้วอาจจะมองว่าเครื่องมันเล็กไปหน่อย ถ้ามองเฉพาะความจุขนาดนั้นก็ถือว่าใช้ได้ แต่สมัยนี้ควรดูที่กำลังเครื่องยนต์จะดีกว่า เพราะอยู่ในระดับเดียวกับเครื่องเบนซินขนาด 1.6 ลิตร เครื่องยนต์ตัวนี้ถือว่ามีพลังที่น่าทึ่ง ที่สำคัญมันปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำกว่า 140 กรัม/กม. เลยทีเดียว
ความแรง ที่มาพร้อมความประหยัด
ด้วยเทคโนโลยีด้านโลหะวิทยาที่ล้ำหน้าไปมาก ทำให้เครื่องยนต์มีขนาดกะทัดรัด เสื้อสูบแบบ 3 สูบ มีขนาดเล็กแต่แข็งแรง สร้างจากเหล็กหล่อ ฝาสูบเป็นอลูมินัมอัลลอย ความกว้างยาวของเสื้อสูบและฝาสูบมีขนาดพอๆ กับแผ่นกระดาษ ขนาด A4 เท่านั้นเอง เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบอยู่ที่ 71.9 มม. แต่เป็นเครื่องที่มีระยะชักยาว 82.0 มม. ทำให้มีความโดดเด่นด้านแรงบิดที่ดี เครื่องยนต์ตัวนี้ใช้ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จที่มีขนาดเล็ก มีแรงเฉื่อยต่ำ ควบคุมประตูไอเสียด้วยสุญญากาศ ลดแรงดันย้อนกลับที่รอบต่ำ และแกนเทอร์โบหมุนได้ถึง 248,000 รตน. ทำให้มีแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ และคงที่ไปถึงรอบปานกลาง นอกจากนี้ในส่วนของฝาสูบยังมีเทคโนโลยีวาล์วแปรผันคู่ TI-VCT ช่วยให้แรงบิดสูงสุดมาเร็วที่ 1,300 รตน. อีกส่วน คือ ระบบฉีดเชื้อเพลิง ที่ใช้เทคโนโลยีการฉีดเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง หรือที่เรียกว่า "ไดเรคท์อินเจคชัน" หัวฉีดจ่ายน้ำมันแรงดันสูงถึง 1,500 บาร์ พร้อมความสามารถในการฉีดต่อเนื่องหลายครั้งในแต่วัฏจักร ทำให้ได้กำลังสูงในรอบต่ำและเผาไหม้หมดจด แม้จะเป็นเครื่องแบบ 3 สูบ แต่มีการออกแบบการบาลานศ์ให้เครื่องยนต์มีความราบรื่นในการทำงานสูง นอกจากนี้การเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ระบบหล่อเย็น มีการแยกส่วนระหว่างฝาสูบและเสื้อสูบ ช่วยให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิทำงานเร็วขึ้น ลดการเกิดมลพิษ และทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ในเครื่องยนต์ชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนที่อย่างเช่น ลูกสูบ แหวนลูกสูบ แบริงเพลาข้อเหวี่ยง ถูกเคลือบสารพิเศษลดแรงเสียดทานลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ได้อีกทางหนึ่ง ในส่วนของระบบหล่อลื่นนั้นปั๊มน้ำมันเครื่องแบบแปรผันควบคุมด้วยกล่องอีซียู เพื่อให้การไหลเวียนของน้ำมันเครื่องได้ประโยชน์สูงสุด
เรื่องโดย : พหล ฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85669