ร่มไม้ชายศาล
น้ำท่วมดีกว่าไฟไหม้
นาทีนี้คนที่เดือดร้อนเพราะรถโดนน้ำท่วมระดับโคตร (ปี 2554) ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มิดคันหรือลุยน้ำจนช่วงล่างมีปัญหา ผมขอแสดงความเสียใจและเห็นใจด้วยอย่างแรง อ้อ ยังมีรายการทุกข์ซ้ำกรรมซัดจากโจรชั่วอีกต่างหาก ถือว่าเป็นสัตว์นรกที่ฉวยโอกาสยามคนอื่นเดือดร้อนได้ลงคอ ถ้ากฎหมายลากมันเอาผิดไม่ได้ ขอให้กรรมตามสนอง พบความวิบัติทั้งชาตินี้และทุกๆ ชาติยังไงก็ตาม ขอให้ถือซะว่า น้ำท่วมดีกว่าไฟไหม้ อย่างน้อยรถยังเหลืออยู่ มีกำลังก็ซ่อมแซมกันไปให้กลับมาใช้การได้ดังเดิม เบี้ยน้อยทุนน้อยก็ค่อยๆ แก้ไป ซ่อมไป ส่วนไหนทำเองได้ออกแรงซะหน่อย เดี๋ยวก็ดีเอง เพราะถ้ารถโดนไฟไหม้ ส่วนใหญ่เหลือเหมือนกัน คือ เหลือแต่ซาก คิดอย่างนี้คงช่วยปลอบใจให้คลายความทุกข์ความกังวลบ้างตามสมควร ส่วนคนมีสตางค์ คงไม่เดือดร้อนอะไรนักกับงานนี้ เผลอๆ อาจเป็นผลดีแก่คนระดับล่างๆ ด้วยปะไร ถ้าเขาผ่องถ่ายขายรถทิ้งที่จมน้ำราคาถูกๆ เพราะขี้เกียจรื้อ ขี้เกียจซ่อม เราตาถึงซื้อไปจัดการให้ดีก็คุ้ม ได้รถราคาไม่แพงไว้ใช้หลังน้ำลด อาจมองว่าน้ำท่วมให้ลาภบ้างก็ได้ อย่างว่า คนเราหนีอะไรก็พอจะหนีได้ แต่ หนีธรรมชาติ หรือ หนีความจริง ไม่ง่ายหรอกครับ ไม่ว่าอยู่ที่ประเทศไทย หรือที่ไหนๆ เจอภัยธรรมชาติได้ทั้งนั้น ที่สำคัญ คือ เดี๋ยวนี้ ธรรมชาติดุชะมัด สุดท้ายต้อง วัดดวง ไปตามเรื่องใช่ไหมครับ ถือซะว่า ชีวิตยังเหลืออยู่ คือ กำไรก็แล้วกันนะตัวเอง อย่าท้อๆ มาว่ากันด้วยคดีความอย่างเคย จะได้หายเครียด แหะ...แหะ...คดีช่วยคลายเครียดได้เหมือนกัน งานนี้ บริษัท ขนส่ง จำกัด โดนฟ้องอีกแล้วครับท่าน ไม่รู้ว่ากี่คดีนับแต่ก่อตั้งมา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา บริษัทเขาไม่ได้ตื่นเต้นหรอกครับ ผู้ที่ฟ้องเป็นคดีแพ่ง คือ นส. รถเก๋ง ไม่ได้เป็นดาราหรือญาติน้องรถเมล์ด้วยแหละ คำฟ้องที่ทนายประดิดประดอยให้ ระบุว่า เธอทำสัญญารับขนกับบริษัทขนส่ง ฯ ที่ว่าทำสัญญาไม่ได้หมายความว่า กางเอกสารแล้วลงชื่อแซ่ของทั้ง 2 ฝ่าย แต่หมายถึง การที่ นส. รถเก๋งใช้บริการรถบัสจากเชียงใหม่เข้ากทม. เสียค่าโดยสารให้แก่บริษัทขนส่ง ฯ แค่นี้ถือว่าทำสัญญารับขนแล้วละครับ อย่าได้เป็นงง ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อรถโดยสารควบถึงจังหวัดตากแล้วเกิดอุบัติเหตุ นส. รถเก๋ง ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ต้องนอนโรงพยาบาลเอกชนที่เชียงใหม่เกือบ 8 เดือน จึงกระย่องกระแย่งออกมาได้ แถมยังโดนโรงพยาบาลเชคบิลล์ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลเกือบ 9 แสนบาท แค่นี้ถือว่าถูกแล้วนะเนี่ย เธอต้องกัดฟันหาเงินจ่ายให้เขาไป เมื่อบริษัทขนส่ง ฯ เป็นผู้ละเมิด จึงต้องรับผิดค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ค่าทำกายภาพบำบัดที่จ่ายไปแล้วอีกเกือบแสน กัค่ากายภาพบำบัดที่ต้องจ่ายในอนาคตอีก 150,000 บาท ที่แย่ คือ ดิฉันเหมือนคนทุพพลภาพ เอี้ยวคอและแหงนหน้าไม่ได้ตามปกติ ขอเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ 1 ล้านบาท รวมแล้วลดแล้วขอให้ศาลบีบคอจำเลยจ่ายให้หนู 2 ล้านบาทถ้วน พร้อมดอกเบี้ย ทนายไม่ยักฟ้องเรียกค่าขาดรายได้จากการทำมาหากิน ซึ่งเรียกได้ บริษัทขนส่ง ฯ สู้คดีตามธรรมเนียม อ้างโน่นอ้างนี่ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าบริษัทขนส่ง ฯ ละเมิดจริง ตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด เท่าที่ นส. รถเก๋ง พิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้ เกือบ 6 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย โดยไม่จ่ายค่าทุกข์ทรมานจากการเอี้ยวคอแหงนหน้าไม่ได้ คู่กรณีต่างยื่นอุทธรณ์ โจทก์ต้องการเยอะกว่านั้น จำเลยต้องการให้ยกฟ้อง หรือจ่ายแค่นิดเดียว ศาลอุทธรณ์ทำตัวเป็นคนอำเภอเชียงยืน พิพากษายืน เอาตามที่ศาลชั้นต้นตัดสินนั่นแหละ เดือดร้อนถึงศาลฎีกา เพราะโจทก์จำเลยพากันยื่นฎีกา จะเอาอย่างที่ตนต้องการ ศาลฎีกาดูคดีนี้ด้วยความเมื่อยล้า เพราะคดีขึ้นศาลสูงในเมืองไทย รอคิวยาวน้องๆ แม่น้ำโขง ถ้าเอาสำนวนเรียงต่อกัน แล้วชี้จนขาดออกมาเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ราวๆ 12 ปีแค่นั้นเอง อุแม่เจ้า.. แต่เป็นเรื่องจริง ประเด็นที่ศาลฎีกาต้องขบให้แตก คือ ความเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน ซึ่งหมายถึงความทุกข์ทรมานซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ไม่สามารถเอี้ยวคอและเงยหน้าได้ กลืนอาหารลำบาก ตามที่เธอเรียกร้อง ถึงชั้นฎีกาลดระดับลงมาเหลือ 4 แสนบาทนั้น ศาลฎีกาแทงว่า ค่าเสียหายที่ผู้ขนส่งต้องรับผิดไม่ได้กำหนดตามกฎหมายให้จ่ายเฉพาะที่เป็นตัวเงิน (ไม่มีคำว่าตัวทอง) จึงตีความในวงกว้าง ให้จำเลยรับผิดต่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินด้วย นส.รถเก๋ง จึงฟ้องเรียกร้องส่วนนี้ได้สบาย ศาลล่าง 2 ศาลตัดสินไม่บังคับให้เธอไม่ได้นะ เมื่อคดีมีการสืบพยานหมดแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายซะเอง ได้ความว่าหมอระบุในใบรับรองแพทย์ อาการของ นส. รถเก๋งสามารถเยียวยาได้ ด้วยการทำกายภาพบำบัด แม้กระทบต่อการดำรงชีวิตบ้าง แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นประกอบอาชีพไม่ได้ ศาลฎีกาเพ่งดูเพดานห้องแล้ว ตัดสินให้จำเลยรับผิดในส่วนนี้ 1 แสนบาท ก็พอ ศาลฎีกา จึงพิพากษาแก้ ตัดสินให้บริษัทขนส่ง ฯ จ่ายค่าเสียหายเกือบ 6 แสนบาท ตามที่ศาลล่างว่าไว้ โดยได้ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง ตั้งแต่วันถัดจากวันเกิดเหตุ คือ 28 กุมภาพันธ์ 2540 เป็นต้นไป ส่วนค่าทุกข์ทรมาน 1 แสนบาท ได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง จนกว่าจะจ่ายเสร็จ มาคิดดูแล้ว นส. รถเก๋ง โดนค่ารักษาพยาบาลเกือบ 9 แสนบาท ค่าโสหุ้ยอื่นไม่นับ ฟ้องแล้วได้ไม่ถึง 7 แสนบาท ขาดทุนเห็นๆ แต่ค่อยยังชั่วเมื่อคดียืดเยื้อกว่า 12 ปี ได้ดอกเบี้ยจากจำเลยคิดคร่าวๆ เกือบเท่าตัว รวมแล้วราวๆ 1 ล้าน 4 แสนบาท มีบวกลบ ถือว่าพอรับไหว ข้อสำคัญ นส. รถเก๋ง อายุเท่าไรตอนเกิดเรื่อง ถ้ารอคดีกว่า 12 ปี แล้วกลับบ้านเก่าไปซะก่อน มีทายาทนั่นแหละได้สตางค์ใช้ นี่คือ หนทางในการพึ่งพาโรงศาลของบ้านเรา จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2552
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85086