พิเศษ(formula)
รถไฟฟ้า PEA EV01
รถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทย ถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่อยู่ แต่ตอนนี้ สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดทำโครงการพัฒนาต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูงเพื่อใช้ในเมือง (HIGH PERFORMANCE CITY ELECTRIC CAR PROTOTYPE DEVELOPMENT PROJECT) ขึ้นแล้ว โครงการนี้คิดและพัฒนาโดยคนไทยล้วนๆ นับเป็นครั้งแรกของวงการยานยนต์บ้านเรา ที่จะได้เห็นรถไฟฟ้าฝีมือคนไทย หน้าตาจะเป็นอย่างไร สวยงามขนาดไหน ต้องติดตาม
สร้างสรรค์เพื่อสังคม
โครงการวิจัยและพัฒนา ฯ นี้ เริ่มต้นวางแผนตั้งแต่ปี 2552 โดยมีรองศาสตราจารย์ชาลี ตระการกูล เป็นหัวหน้าโครงการ คอยช่วยเหลือ และให้คำปรึกษา โดยมีศิษย์เก่าที่ขณะนี้ทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มีความคิดว่าอยากทำพโรเจคท์ ที่เป็นประโยชน์คืนให้แก่สังคม โดยเริ่มมองเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานด้านต่างๆ ตั้งแต่ กังหันลม โซลาร์เซลล์ จนมายุติที่รถไฟฟ้า จึงเกิดพโรเจคท์รถไฟฟ้าขึ้น
เริ่มแรกการทำพโรเจคท์นี้ ตั้งงบประมาณไว้ที่ 30 ล้านกว่าบาท ที่จะวิจัยและพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมด หานายทุนสนับสนุนอยู่นานปี จนเมื่อปี 2553 ได้พบกับท่านรองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีแนวคิดอยากจะทำประโยชน์ให้สังคมเหมือนกันพอดี จึงเสนอพโรเจคท์นี้ และได้ปรับปรุงโครงการไปเรื่อยๆ จนประมาณปลายปี 2553 ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตอบตกลงยินดีสนับสนุนโครงการวิจัย ฯ นี้ แต่สามารถสนับสนุนได้แค่เพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น (ขาดอีก 10 ล้านบาท) เลยต้องปรับปรุงโครงการบางส่วน เพื่อลดต้นทุนการผลิตลงมา จนสามารถทำพโรเจคท์นี้ขึ้นมาร่วมกัน
รัฐ-เอกชน ร่วมมือ
แรกเริ่มโครงการนี้ มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นรถแนวซิทีคาร์ (CITYCAR) มี 4 ที่นั่ง แบบ 5 ประตู แต่เนื่องจากทีมงาน มีตั้งแต่อาจารย์มหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงาน
ภาคเอกชน เลยคิดว่าถ้าพัฒนาแค่รถยนต์ต้นแบบ ก็คงต้องเก็บไว้อย่างเดียว ไม่เกิดประโยชน์อะไร จึงคิดนำรถต้นแบบที่ทำไว้แล้วมาต่อยอด เพื่อให้สามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ เนื่องจากมีทีมงานที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรม มีช่องทางที่สามารถช่วยเหลือเรื่องการผลิตได้ ในด้านอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ได้รับความร่วมมือจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ บริษัท ไทยสัมมิต จำกัดรวมถึงการสแกนโมเดล และในเรื่องของการปั้นโมเดล ก็ได้รับความมือจาก วายแอทท์ (YATT) ที่มีความเชิ่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นอย่างดี
ขั้นตอนการสร้าง
ทีมงานมีทั้งหมด 33 คน แต่ละคนก็มีความชำนาญในด้านต่างๆ เราแบ่งทีมงานออกเป็นกลุ่มๆ ตามความถนัดของแต่ละคน ขั้นตอนแรก คือ การออกแบบรูปทรง แล้วปั้นออกมาเป็นรูปทรง กำหนดสเปคตัวรถว่า ต้องมีความกว้าง/ยาว/สูง เท่าไร ใช้มอเตอร์กี่กิโลวัตต์ กำหนดความเร็วสูงสุด ชาร์จไฟครั้งหนึ่งวิ่งได้กี่กิโลเมตร เมื่อร่างสเปคคร่าวๆ แล้ว ก็จะมีทีมงานกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่กลุ่มออกแบบตัวถัง กลุ่มออกแบบเกี่ยวกับระบบแบทเตอรี กลุ่มออกแบบระบบแสดงผล/เตือนภัย/ความเร็ว/ระยะทาง/ปริมาณแบทเตอรี โดยศึกษาจากรถไฟฟ้าทั่วไป กลุ่มออกแบบช่วงล่าง ที่ทำจากอลูมิเนียมอัลลอย ซึ่งทางโครงการได้ออกแบบไว้หมดทุกอย่างแล้ว รวมถึงวงจรไฟฟ้าด้วย ในส่วนของแชสซีส์ (CHASSIS) ทำจากอลูมิเนียม น้ำหนักเบา เป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยม ถ้าต่อไปจะผลิตในเชิงพาณิชย์คงต้องใช้วิธีการฉีดแบบเซมิโซริค หรือเรียกว่าการฉีดกึ่งของเหลวกึ่งของแข็ง เพื่อป้องกันรอยเชื่อมที่อาจสร้างปัญหาขึ้นภายหลัง ซึ่งตรงนี้เรามีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์คอยช่วยเหลือด้านนี้อยู่ การประเมินความคืบหน้าพโรเจคท์จะแบ่งเป็นงวด งวดละ 3 เดือน
อุปสรรคที่พบ
ตั้งแต่เริ่มโครงการ ฯ ต้องเจอกับปัญหา และได้แก้ไขมาตลอด โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการจัดซื้ออุปกรณ์ ยกตัวอย่าง เช่น แบทเตอรี เราอยากได้แผ่นเซลล์ขนาด 20 แอมแปร์ชั่วโมง เป็นโมเดล A123 ต้องการทั้งหมด 300 เซลล์ เพื่อให้ชาร์จครั้งหนึ่งวิ่งได้ 150 กม. เป็นแบบลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ซึ่งมีในบ้านเรา แต่พอขอซื้อเขากลับไม่ขายให้ เนื่องจากต้องสั่งเป็นจำนวนมาก ถึงจะขายให้ แบทเตอรีที่เราต้องการผลิตจากสหรัฐอเมริกา ในเมื่อเขาไม่ขายให้เลย ต้องไปซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่จีน ต้นทุนต่อแผ่นประมาณ 1,000 กว่าบาท ต้องการทั้งหมด 300 แผ่น และต้องแพคเป็นโมดูล 3-4 โมดูล ในแต่ละโมดูลจะมีพโรแกรมเข้ามาบริหารจัดการ รับและจ่ายประจุ ซึ่งเราต้องออกแบบพัฒนาพโรแกรมเอง เนื่องจากไม่สามารถซื้อทั้งโมดูลได้ (เขาไม่ขาย) จึงเป็นงานที่เพิ่มขึ้นโดยไม่คลาดคิดมาก่อน แบทเตอรีตัวนี้หนักเกือบ 400 กก. และวางอยู่ตรงกลาง และท้ายรถ เป็นรูปตัวที (T) ปัญหาอีกเรื่องคือ เรื่องของตู้ควิคชาร์จ ในส่วนโครงสร้างภายใน พอหาได้ เรายังขาดตัวปลั๊กกับตู้ไฟอยู่ เพราะไม่มีขาย
ในอนาคตถ้ารัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงจัง (เหมือนที่ญี่ปุ่นสนับสนุนให้ใช้ โดยรัฐบาลจ่ายให้ครึ่งหนึ่งของราคารถ) คงจะได้เห็นรถไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ ที่พัฒนา และออกแบบโดยคนไทย วิ่งกันเต็มเมืองอย่างแน่นอน
สิ่งจำเป็นในรถไฟฟ้า
เนื่องจากเป็นรถไฟฟ้าที่ใช้ในเมืองเป็นหลัก เลยกำหนดขนาดและกำลังต่างๆ ไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป(น้ำมัน) ทั่วไป ที่ใช้งานในเมือง เช่น มีขนาด 4 ที่นั่ง น้ำหนักโดยรวมไม่ต่ำกว่า 1,050 กก. ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. มีระยะเดินทางได้อย่างน้อย 150 กม. ต่อการอัดประจุ 1 ครั้ง (เต็ม) ใช้เวลาการอัดประจุครึ่งหนึ่ง แบบเร็วไม่เกิน 30 นาที (50 %) และการอัดประจุเต็ม (100 %) แบบปกติ ด้วยการเสียบปลั๊กไฟบ้านไม่เกิน 8 ชั่วโมง เป็นต้น
ส่วนอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องที่จำเป็น คือ ต้องใช้ไฟ 15 แอมแปร์ ในการชาร์จแบบปกติ และ 60 แอมแปร์ ในการชาร์จแบบควิคชาร์จ
การสร้างรถไฟฟ้าในครั้งนี้ ก็เหมือนการสร้างนักวิจัย และวิศวกร ไปในตัว โครงการนี้คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณหลังสงกรานต์ปีหน้า (2555) ในอนาคตอาจมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จากรถยนต์นั่ง อาจจะคิดไปถึงเรื่องของการขนส่ง อาจจะเป็นรถพิคอัพ รถตู้ แต่รถพวกนี้มีน้ำหนักมาก อาจจะพบกับปัญหาเรื่องกำลังไม่เพียงพอ
วัตถุประสงค์ของโครงการ
- เพื่อออกแบบพัฒนา และผลิตต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขนาดเล็กในเมือง (CITY ELECTRIC CAR)
- เพื่อเป็นต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ทันที ที่สิ้นสุดโครงการ
- เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง รองรับอยู่แล้ว
- เพื่อลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
- เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพของรถไฟฟ้าต้นแบบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84395