ร่มไม้ชายศาล
ชนคนตายฝรั่งติดคุกไหม ?
ขอยกตัวอย่างการลงโทษ กรณีขับรถชนคนตายแล้วหนี หรือที่ฝรั่งเรียกว่า HIT-AND-RUN ซึ่งเกิดขึ้นที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เพื่อเปรียบเทียบกับบ้านเราซะหน่อยเหตุเกิดวันที่ 11 มกราคม 2011 หญิงชาวลาสเวกัสขับรถยนต์ด้วยความเร็วประมาณ 110 ไมล์ หรือ177 กม./ชม. ชนรถอื่น 2 คัน ที่โดนหนัก คือ รถ เอสยูวี กระเด็นกระดอนตามแรงชนจนพังยับ หญิงวัย 44 ปี คนขับเสียชีวิตคาที่ แต่รถของนัก "ซิ่ง" หญิงยังเดินหน้าไปได้ เธอขับหลบหนี 15 วัน ต่อมาตำรวจตะครุบตัวได้ มีการส่งฟ้อง เดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง ศาลสหรัฐ ฯ ซึ่งดูตามภาพข่าวผู้พิพากษาเป็นสตรี ตัดสินลงโทษจำเลยวัยเดียวกัน คือ วัยกลางคน ให้เข้าคุกอย่างน้อย 6 ปี โดยที่กฎหมายของเขากำหนดโทษไว้ระหว่าง 6-13 ปี นับว่า เชคบิลล์ได้รวดเร็ว สำนักข่าวฟอก จงใจเขียนเสือให้วัวกลัวหรือยังไงไม่ทราบ แพร่เป็นวีดีโอ ระบุชื่อแซ่ชัดเจน เห็นภาพจำเลยหญิงซึ่งกลัวติดคุก คร่ำครวญต่อหน้าผู้พิพากษาอย่างหนัก ไม่ยักปิดบังหรือเสนอเป็นภาพสเกทช์ดังที่เราเคยเห็นทั่วไป มีภาพบุตรชายผู้ตายยืนแถลงต่อศาล ขอให้เอาฆาตรกรฆ่าแม่ของเขาเข้าคุกเถิดเห็นภาพสตรีเหยื่อภัยจราจรรายนี้ด้วย ทางสำนักข่าวยังเชิญชวนชาวบ้านแสดงความคิดเห็นว่า การตัดสินยุติธรรมไหม แล้วนำเสนอไว้ด้วย นับว่าทันสมัย ผมลองอ่านดูบางรายเอาหนัก บอกว่านี่เป็นอาชญากรฆ่าคนชัดๆ ต้องประหาร อีกรายขอให้ขังสัก 20 ปี หรือตลอดชีวิตจึงสาสม บางรายบอกว่า ศาลคงลงโทษได้แค่นี้ตามที่กฎหมายว่าไว้มั้งแล้วหล่อนคงจะออกมาขับรถทำให้คนตายอีกแหละ บ้างก็บอกว่า โยนนังนี่เข้าคุกและโยนกุญแจรถให้พ้นไปจากเธอเสียเถอะ ขณะที่ญาติและพวกพ้องของจำเลย ก็ให้ข่าวกับสื่อเดียวกันว่า นัก "ซิ่ง" สาวตกที่นั่งยากลำบาก น่าเห็นใจพวกเราจะดูแลเธอต่อไป นั่นคือ มุมของฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งก็ตรงกันข้ามจริงๆ เพราะคนเราย่อมเห็นแก่ตัวแก่ญาติและพวกพ้องเสมอ หากยึดหลัก "ใจเขาใจเราบ้าง" น่าจะสวยกว่า ครับถ้าเปรียบเทียบกับของไทย เราลงโทษคดีอย่างนี้เบาบางกว่าเยอะ ขนาดสิบล้อรถบรรทุก รถพ่วง"ซิ่ง" แหลก ชนคนตายหลายศพ ยังติดตะรางน้อยกว่าเขา ถ้าหยิบยื่นเงินทองให้ผู้เสียหายสักหน่อย ศาลถือว่าบรรเทาความเสียหาย เผลอๆ รอลงอาญาด้วยปะไร ลองคิดดูว่ากรณีชนแล้วหนี ในบ้านเราจะลดลงไหม คิดเอาเองนะขอรับ มาว่ากันด้วยคดีความเพื่อความมันอย่างเคยเป็นเรื่องที่นักเลงผ่อนรถรู้ไว้มั่งน่าจะแจ่ม สืบเนื่องจาก นายเจ้าสัว ตั้งชื่อเอาเคล็ดกระมัง เลยต้องเช่าซื้อรถราคา 4-5 แสนบาทมาขับ ส่งงวดไป 10 กว่างวด จอดป้าย ซ้ำรถยังโดนขโมย เจ้าสัว ต้องหันมาขี่มอเตอร์ไซค์ชั่วคราว ระหว่างนี้ก็ขึ้นศาลลงศาลเป็นที่สนุกสนานอีกต่างหาก เพราะ บริษัท ผ่อนส่งก้าวหน้าจำกัด ผู้ให้เช่าซื้อขยันฟ้องไปหน่อย การค้าความครั้งแรก บริษัทฟ้อง นายเจ้าสัว พร้อมทั้งคนค้ำประกัน คือ นางขุมทรัพย์ ระบุว่า นายเจ้าสัวผิดนัดไม่ส่งค่างวดตามสัญญาเช่าซื้อ ไม่คืนรถ บังคับให้ชำระค่างวดที่ค้าง ค่าขาดประโยชน์ในการไม่ได้ใช้รถพร้อมดอกเบี้ย นายเจ้าสัว กับ นางขุมทรัพย์ สู้คดี ยังไงไม่รู้บริษัทพลาดท่าโดนยกฟ้อง คดีถึงที่สุดไปแล้วบริษัทผ่อนส่งก้าวหน้า ฯ ยังไม่ท้อ มุ่งหน้าเชคบิลล์ นายเจ้าสัว กับพวกให้จงได้ ให้ทนายกางสัญญาเช่าซื้อออกมาดู แล้วร้องว่าเสร็จโก๋ ในเมื่อสัญญาระบุชัด กรณีรถหาย ผู้เช่าซื้อและคนค้ำประกัน ต้องจ่ายค่ารถในส่วนที่ยังไม่ได้ผ่อนส่งทั้งหมดในบัดดล ห้ามยกเหตุรถโดนโจรกรรมมาอ้าง ห้ามยกเหตุที่บริษัทซึ่งเป็นเจ้าของรถได้รับเงินจากบริษัทประกันมาอ้าง บริษัทผ่อนส่งก้าวหน้า ฯ จึงให้ทนายฟ้อง นายเจ้าสัว กับ นางขุมทรัพย์ อีกกระทอกหนึ่ง โดยยกเอาข้อสัญญาเรื่องรถโดนขโมยมายัน นายเจ้าสัว กับ นางขุมทรัพย์ แสนจะเซ็ง ต้องขวนขวายจ้างทนายสู้คดี ให้การว่าเป็นฟ้องซ้ำ ต้องยกฟ้อง และขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย เพื่อความรวดเร็ว ว่าเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พยักหน้าเห็นด้วยกับจำเลยว่าเป็นฟ้องซ้ำ ตัดสินยกฟ้องโจทก์ คือ บริษัทผ่อนส่งก้าวหน้า ฯ เดินหน้าชน รีบยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วมองว่า ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ พิพากษายกคำตัดสินของศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่ไปตามขั้นตอน จำเลยไม่ยอมแพ้ รีบยื่นฎีกา ยืนยันว่าเป็นฟ้องซ้ำแน่ๆ ศาลฎีกา จึงต้องรับภาระเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่คดีรอคิวอีกมาก พิจารณาแล้วชี้ขาดออกมาว่าการที่บริษัทผ่อนส่งก้าวหน้า ฯ ฟ้องในคดีก่อน อ้างว่า นายเจ้าสัว กับพวกผิดสัญญาเช่าซื้อ ขาดส่งค่างวด ซึ่งต่างจากคดีนี้ ที่อ้างว่ารถสูญหาย บริษัท ฯ มีสิทธิเรียกเอาค่ารถ ตามที่มัดไว้ในสัญญาอย่างแน่นหนา แต่ปรากฏชัดว่า รถโดนขโมย บริษัทผ่อนส่งก้าวหน้า ฯ ก็ทราบเรื่อง ก่อนที่จะยื่นฟ้องในคดีแรก แต่เมื่อฟ้องคดีแรกไม่ยักเอ่ยอ้างเรื่องรถสูญหาย ทั้งๆ ที่ทำได้ การที่บริษัทผ่อนส่งก้าวหน้า ฯนำสัญญาเช่าซื้อมาฟ้อง นายเจ้าสัว กับพวกเป็นคดีนี้อีก เท่ากับนำสัญญาเช่าซื้อมาฟ้องซ้ำซาก 2 หน เข้าข่ายฟ้องซ้ำ ฟ้องอีกไม่ได้หรอก ศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้องถูกต้องแล้วละ ศาลฎีกา จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ เรื่องของเรื่องบริษัท ฯ และทนายของเขารู้แง่มุมของกฎหมายไม่เบา เล็งว่าถ้าฟ้องในคดีแรก ยกเรื่องรถสูญหายมาอ้าง ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินตามต้องการ เพราะแนวทางที่ศาลเคยตัดสินไว้ ถือหลักว่าเมื่อรถโดนขโมย หรือสูญหาย ทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ ไม่มีอยู่ สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ให้คู่กรณีกลับสู่ฐานะเดิม ในส่วนของเงินทอง ศาลจะคิดคำนวณให้ โดยคำนึงถึงราคารถที่แท้จริง และนำเงินที่บริษัทหรือไฟแนนศ์ได้ไปทั้งหมดมาหักออก ให้ผู้เช่าซื้อจ่ายส่วนที่ขาด ซึ่งได้น้อย ไม่จุใจบริษัทแทบทุกคดีที่ฟ้องร้องเลยไม่อยากเอ่ยอ้างเรื่องรถหาย พอแพ้คดีแรก เรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อ เรื่องขาดส่งค่างวด จึงหาทางใหม่ ฟ้องใหม่ โดยพึ่งสัญญาเช่าซื้อข้อที่เขียนมัดเรื่องรถสูญหายอย่างที่บอก ตีซะว่าถ้าศาลไม่ตัดสินเป็นฟ้องซ้ำ คงได้มามั่ง ดีกว่าไม่ได้ ทว่าศาลยันจนหงายท้อง เป็นฟ้องซ้ำแล้วจ้า ป่านนี้บริษัทคงเซ็งเป็ดไม่หาย
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84347