ผลทดสอบต่างแดน
โตโยตา ปรีอุส วี 2012
ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา โตโยตา ปรีอุส ไฮบริด กว่า 2 ล้านคันได้ถูกจำหน่ายแพร่หลายไปกว่า 70 ประเทศทั่วโลก คำว่า PRIUS เป็นภาษาละติน หมายความว่า A HEAD OF THE CURVE สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ของ ปรีอุส ตั้งแต่ปี 2000 ขายไปได้กว่า 1 ล้านคัน ขุมกำลังที่มีความซับซ้อน รวมไปถึงการใช้งานที่ยาวนานของแบทเตอรี ได้รับการคิดค้นมาเป็นอย่างดีทำให้ในขณะนี้ ร้อยละ 97 ของ ปรีอุส ที่ผลิตออกมายังคงสามารถวิ่งอยู่บนท้องถนน
พอมาในปี 2003 ปรีอุส สายพันธุ์ที่ 2 ก็เผยโฉมในรูปแบบของรถแฮทช์แบคขนาดกลาง ในตลาดสหรัฐอเมริกาคาดว่าในอนาคตจะทำยอดขายได้เหนือกว่ารุ่น โคโรลลา และแคมรี
รหัส วี (V) หรือ VERSATILE ในที่นี้หมายถึง ความอเนกประสงค์ โดยค่าย โตโยตา ได้ทำการค้นคว้า ทดสอบ อย่างหนักในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงผสมผสานกับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อการใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
โตโยตา มอเตอร์ส สหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยรถยนต์ในตระกูล ปรีอุส วี 2012 เป็นครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ 2011 นอกเหนือจาก ปรีอุส สายพันธุ์ที่ 3 และปรีอุส PLUG-IN HYBRID VEHICLE (PHV) ซึ่ง โตโยตา ปรีอุส ในแต่ละรุ่น ก็ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โตโยตา ปรีอุส แต่ละรุ่นนั้นมาพร้อมกับขุมพลังไฮบริด ซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน มีมลพิษทางอากาศที่ต่ำ และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่มีความทนทาน ไว้ใจได้
โตโยตา ปรีอุส วี ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ในตลาดรถครอบครัวขนาดเล็ก 5 ที่นั่ง ใช้พื้นฐานเดียวกับ ปรีอุส เจเนอเรชันล่าสุด ภายนอกยังคงมีรูปทรงเพรียวลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ มีค่าสัมประสิทธิ์การต้านอากาศที่ 0.29 จากการติดตั้งสปอยเลอร์หลังให้กับตัวถังทรงแฮทช์แบคที่หล่อเป็นชิ้นเดียวกัน
ปรีอุส วี เปลี่ยนโฉมด้านหน้าใหม่หมด ด้านท้ายปรับรูปทรงให้อยู่ในแนวตั้งมากขึ้น เพื่อให้ได้โฉมที่ดึงดูดสำหรับครอบครัวผู้ใช้รถที่มีอายุน้อย พร้อมยืดแนวหลังคาให้ยาวขึ้น มีขนาดความยาวตัวรถ และความสูงเพิ่มขึ้นจาก ปรีอุส ซีดาน 6 และ 3.3 นิ้ว ตามลำดับ จากการที่ฐานล้อยาวขึ้น 3 นิ้ว มีผลทำให้เนื้อที่บรรทุกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 ความกว้างเพิ่มขึ้น 1.1 นิ้ว เบาะนั่งหลังปรับเอนได้ถึง 45 องศา พับได้ในอัตรา 60/40 เพื่อเพิ่มเนื้อที่บรรทุกสัมภาระ โครงสร้างตัวรถให้ความปลอดภัยสูง
ภายในหรูหรา เบาะนั่งแบบบัคเกทซีท มาพร้อมหลังคามูนรูฟแบบพาโนรามิค แยกส่วนหน้า/หลัง ทำจากเรซิน ลดน้ำหนักลง 40 % เมื่อเทียบกับหลังคาแก้วในขนาดเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม
ปรีอุส วี ยังคงใช้ระบบไฮบริดแบบ SYNERGY DRIVE มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำงานควบคู่กับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า ผ่านอัตราทดเฟืองท้ายที่เพิ่มขึ้นจาก 3.27:1 เป็น 3.70:1 น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 232 ปอนด์ จากการติดตั้งระบบไฮบริดลงไป มีผลให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใช้เวลามากกว่า 10 วินาที อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงประมาณ 42 ไมล์/แกลลอน หรือประมาณ 17.7 กม./ลิตร นอกเมือง 38 ไมล์/แกลลอน หรือ 16 กม./ลิตร ระบบการขับเคลื่อนมีให้เลือก 4 รูปแบบ คือ NORMAL, POWER, ECO และ EV ก้านเปลี่ยนเกียร์แบบชิฟท์อีเลคทรอนิคส์ สำหรับช่วยเพิ่มกำลังในขณะขับขึ้นเขาได้ถึง 4 ระดับ
แต่ในส่วนของระบบพวงมาลัยไฟฟ้า แม้จะให้น้ำหนักในการใช้งานที่ดี แต่ขาดการตอบสนองจากพื้นผิวถนนมาสู่ผู้ขับขี่ เสา เอ ที่หนาบดบังทัศนวิสัยด้านหน้าไปพอสมควรทีเดียว การตอบสนองของคันเร่งเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลาและระยะทางเบื้องหน้าในการเพิ่มความเร็ว ระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบป้องกันล้อฟรี, ระบบเบรคที่ป้องกันล้อลอค ABS และระบบกระจายแรงเบรคให้เท่ากันทุกล้อ หรือ EBD พร้อมระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วเกินกำลังห้ามล้อ (SMART STOP BRAKE-OVERRIDE SYSTEM) อุปกรณ์ในเรื่องความปลอดภัยสำหรับรถรุ่นนี้ให้มาพร้อมจนแทบจะไม่ต้องใส่อะไรเพิ่มเติมลงไป
โตโยตา เตรียมก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นด้วยการผลิต ปรีอุส ระบบ PLUG-IN HYBRID ให้เป็นมาตรฐานตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นไป เพื่อให้แน่ใจว่าจะยึดตำแหน่งผู้นำในตลาดรถไฮบริดได้ต่อไป หลังจากที่มีคู่แข่งสำคัญอย่าง เชฟโรเลต์ โวลท์, โอเพล อัมเพรา และนิสสัน ลีฟ กำเนิดขึ้นมาช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ยิ่งนานนับวันก็ยิ่งมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ขนาดที่ว่าราคาเกือบจะไม่ใช่ปัจจัยที่เป็นปัญหาเหมือนสมัยก่อน อีกทั้งมีแรงหนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ ยิ่งทำให้รถไฟฟ้ามีโอกาสแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว และขยายวงกว้างมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปรีอุส วี จะเริ่มขายในสหรัฐอเมริกาก่อน ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 878,000 บาท หากนำเข้ามาในไทยคาดว่าคงไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท
คุณรู้หรือไม่ ?
ปรีอุส วี จะเป็นรถรุ่นแรกที่มากับระบบ เอนทูน (ENTUNE) ของ โตโยตา ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับรถยนต์ด้วย BLUETOOTH แสดงผลผ่านมอนิเตอร์นั่นเอง ใช้สำหรับเล่นไฟล์มัลทิมีเดียจากโทรศัพท์, เชค SMS ไปจนถึงการใช้งาน APP บนโทรศัพท์สั่งการผ่านจอ LCD ของรถ ซึ่งในอนาคตน่าจะมี APP เล็กๆ ให้ใช้งานเพิ่มเติมอีกมากมาย ตามความสามารถของสมาร์ทโฟนแต่ละยี่ห้อ
เรื่องโดย : อัฐฒา นายเรือ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ผลทดสอบต่างแดน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83816