วิถีตลาดรถยนต์
ยังไปได้สวย แต่ทางข้างหน้าไม่ง่ายเสียแล้ว
ถล่มทลายกันเลยทีเดียวสำหรับยอดการจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมา เป็นตัวเลขยอดจองรถยนต์ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รถยนต์รุ่นใหม่ที่มาจับจองเวทีงานนี้เปิดตัวออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ที่โดดเด่นมากสุดหนีไม่พ้น บรีโอ ของ ฮอนดา และโมเดล 3 รุ่นใหม่ของ มาซดา ต่างกอบโกยใบจองเข้าบริษัทกันได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่อย่างไรก็ตาม รถยนต์ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดยังเป็นรถยนต์รุ่นต่างๆ ของ โตโยตา ที่ถึงแม้จะไม่มีรุ่นใหม่เอี่ยมมาเสริมคะแนนนิยม แต่ยังมีผู้เลือกซื้อเลือกใช้สูงสุดเหมือนเช่นเดิม
และผลจากงานดังกล่าว มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศเดือนเมษายน ยังเป็นตัวเลขที่สวยหรู ดูดี มีเปอร์เซนต์การเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ปีก่อนหน้านี้ แต่ถ้าไปเทียบกับเดือนมีนาคม สัญญาณการชะลอตัวเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสาเหตุสำคัญของการชะลอตัวการเติบโตของยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศครั้งนี้ มีอยู่เพียงอย่างเดียวก็ว่าได้ นั่นคือ ผลกระทบจากภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายราย อาทิ โตโยตา, ฮอนดา, มาซดา หลายโรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ผู้ผลิตชิ้นส่วนประกอบหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ ต้องปิดตัวเอง ทำให้ไม่สามารถจัดส่งชิ้นส่วนประกอบให้กับโรงงานผลิตรถยนต์ของยักษ์ใหญ่ทั้งหลายได้ ต่อเนื่องมาถึงบริษัทแม่ก็ไม่สามารถจัดส่งชิ้นส่วนที่สำคัญในการประกอบรถยนต์ให้กับบริษัทลูกในประเทศไทยได้เช่นกัน เป็นผลให้โรงงานของบริษัทรถยนต์ในประเทศไทย ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง จนถึงกับต้องประกาศปิดรับจองรถยนต์รุ่นใหม่ชั่วคราวในบางบริษัท ยังดีที่บางแห่งยังมีรถยนต์ที่ผลิตแล้วประกอบแล้วอยู่ในสตอค ทำให้การส่งมอบรถใหม่แก่ผู้สั่งจองไว้ไม่ถึงกับติดขัดเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าก็ต้องมีบ้างที่พนักงานขายรับใบสั่งจองแล้วให้คำตอบที่แน่นอนกับลูกค้าไม่ได้ ว่าจะได้รถเมื่อไร ผู้สันทัดกรณีคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศไทยคงจะไม่อู้ฟู่เหมือนกับช่วงไตรมาสที่ 1 อย่างแน่นอน สำหรับไตรมาสที่ 2 ที่เริ่มต้นในเดือนเมษายนนี้ ไปจนถึงเดือนมิถุนายน แต่หลังจากที่ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง กำลังการผลิตกลับมาเดินหน้ากันเต็มสปีดเหมือนช่วงปกติ การซื้อขายก็จะคล่องตัวขึ้น ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจทั่วไปที่คล่องตัวขึ้นทั้งจากในระบบ และนอกระบบ อันเนื่องมาจากการหาเสียงชิงความเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนเข้าไปทำหน้าที่แทนในสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตามที จะทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศกลับมามีศักยภาพเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าช่วงไตรมาสที่ 2 และจบสิ้นฤดูค้าขายในปี 2554 นี้ ตัวเลขที่งดงามไม่คลาดเคลื่อนจากเป้าเดิมที่วางกันไว้เมื่อเปิดฤดูค้าขายมากมายเท่าใดนัก
ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกประเภท เดือนเมษายนปรับลดลงจากเดือนมีนาคม 27.6 % มียอดจำหน่ายรวมกันที่ 67,283 คัน แต่เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ปี 2553 แล้วยังเป็นตัวเลขยอดจำหน่ายที่ปรับตัวสูงขึ้น 17.8 % โดยที่ความสำเร็จจากงานมอเตอร์โชว์ ส่งผลให้บริษัทรถยนต์เกือบจะทุกบริษัทมียอดจำหน่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ปี 2553 มีเพียงบางบริษัทที่มียอดจำหน่ายที่ลดลง แต่ก็เป็นการลดลงในหลักร้อย เช่น ยอดจำหน่ายของ ฮอนดา และมาซดา และบางบริษัทที่เป็นรถยนต์ที่มีลูกค้าเฉพาะกลุ่มเป็นรถยนต์หรูราคาแพง เช่น เอาดี, โลทัส, เบนท์ลีย์ เป็นต้น
และสำหรับตัวเลขยอดจำหน่าย 67,283 คัน ตลาดรถยนต์ที่ยังมีความต้องการใช้สูงสุด และมีการปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ยังคงเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีการปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนปีที่แล้ว ในส่วนของตลาดรถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ และรถเอสยูวี โดยพิคอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 1,209 คัน ลดลงจาก 1,277 คัน เดือนเมษายนปีที่แล้ว 5.3 % ส่วนรถเอสยูวีลดลง 3.4 % จาก 4,481 คันในเดือนเมษายนปีที่แล้ว เหลือ 4,328 คัน สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล มียอดจำหน่าย 29,832 คัน เพิ่มขึ้น 18.0 % รถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ จำหน่ายไปได้ 27,618 คัน เพิ่มขึ้น 28.1 % รถเอมพีวี จำหน่ายได้ทั้งหมด 1,111 คัน เพิ่มขึ้น 12.2 %
สำหรับภาพโดยรวมเมื่อผ่านไตรมาสแรก บวกกับเดือนเมษายนอีก 1 เดือน ตลาดรถยนต์ในประเทศเติบโตสูงขึ้นกว่าระยะเวลาเดียวกันของปี 2553 ถึง 36.6 % มียอดจำหน่ายรวมกันทั้งสิ้น 305,902 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 132,901 คัน เพิ่มมากขึ้นถึง 50.6 % รถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ 127,041 คัน เพิ่มขึ้น 32.1 % รถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ 5,821 คัน เพิ่มขึ้น 5.9 % รถเอสยูวี 19,076 คัน เพิ่มขึ้น 15.8 % รถเอมพีวี 4,243 คัน ลดลง 0.8 %
ในส่วนของรถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่จำหน่ายออกไปในเดือนเมษายนนี้ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยจำหน่ายไปทั้งสิ้น 10,106 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 36.6 % เป็นพิคอัพยอดนิยมยี่ห้อเดียวที่ขายได้เกิน 10,000 คันภายในเดือนเดียว แต่ อีซูซุ ดี-แมกซ์ ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 2 ก็มียอดจำหน่ายที่เฉียดฉิวจะเกินกว่า 10,000 คันใน 1 เดือนไปเพียงนิดเดียว จำหน่ายไปได้ 9,933 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 36.0 % สำหรับ ทไรทัน ของ มิตซูบิชิ เป็นพิคอัพที่กลับมาร้อนแรง ฮิทติดตลาดอีกครั้งหนึ่ง จากการมีเครื่องยนต์ใหม่ และทางเลือกของพลังงานเชื้อเพลิง เดือนเมษายนจำหน่ายไปได้อีก 3,062 คัน ได้ส่วนแบ่งตลาดไป 11.1 % ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 4 เป็นค่าย นิสสัน จำหน่ายได้ 1,528 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.5 % และอันดับที่ 5 เป็นค่าย เชฟโรเลต์ ที่นำเอาโฉมใหม่ต้นแบบของ โคโลราโด ออกมาโชว์ตัวหยั่งกระแสในงานมอเตอร์โชว์ เป็นครั้งแรก แต่ตัวจริงคงต้องรอกันไปอีกนานพอสมควร เดือนเมษายนจำหน่ายไป 733 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 2.7 % ตลาดนี้มี นิสสัน เป็นยี่ห้อเดียวที่มียอดจำหน่ายลดลงจากเดือนเมษายนปีที่แล้ว และมิตซูบิชิ มียอดจำหน่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด
ส่วนของพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เหมือนกับพิคอัพขับเคลื่อน 2 ล้อ จะแตกต่างกันที่ระบบส่งกำลัง และเครื่องยนต์ที่จะเป็นรุ่นใหญ่กว่าของรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ มีพิคอัพขับเคลื่อน 4 ล้อของค่าย โตโยตา เป็นผู้นำตลาดเหมือนพิคอัพขับเคลื่อน 2 ล้อ เดือนเมษายน โตโยตา ทำยอดจำหน่ายได้ 718 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 59.4 % อันดับที่ 2 ของตลาดนี้เป็นของค่าย อีซูซุ จำหน่ายไป 241 คัน เป็นสัดส่วน 19.9 % ของตลาดทั้งหมด อันดับที่ 3 ค่าย นิสสัน จำหน่ายได้ 138 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 11.4 % มิตซูบิชิ อยู่ในอันดับที่ 4 จำหน่ายไปทั้งสิ้น 66 คัน ได้ส่วนแบ่งตลาด 5.5 % อันดับที่ 5 เป็นของค่าย ฟอร์ด 30 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2.5 %
รถเอสยูวี เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้างแล้ว เพราะเป็นเดือนที่ค่าย มิตซูบิชิ ที่มี ปาเจโร สปอร์ท เป็นขุนศึกคู่บารมีในตลาดรถยนต์ประเภทนี้ มีผลงานที่ยอดเยี่ยม ทำยอดจำหน่ายได้สูงสุดแซงหน้ารถเอสยูวีของค่ายอื่นๆ โดยเฉพาะค่าย โตโยตา ที่ยึดหัวหาดทำยอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับ 1 มาช้านาน เอสยูวีของ มิตซูบิชิ จำหน่ายไปได้ถึง 1,411 คันในเดือนนี้ คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 32.6 % อันดับ 2 โตโยตา หล่นมาจากบัลลังก์แชมพ์ จำหน่ายไป 908 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 21.0 % ส่วน อีซูซุ อยู่ในอันดับที่ 3 มียอดจำหน่าย 657 คัน ส่วนแบ่งตลาด 15.2 % อันดับที่ 4 เป็นของ เชฟโรเลต์ 496 คัน ส่วนแบ่ง 11.5 % และอันดับที่ 5 เป็นของ ฮอนดา 426 คัน ได้ส่วนแบ่งไป 9.8 %
ทางด้านของรถเอมพีวี มี ปโรตอน ที่ทำผลงานได้โดดเด่นไม่ใช่น้อย ขยับขึ้นมาทำยอดจำหน่ายสูงสุดได้เป็นอันดับที่ 2 รองจาก โตโยตา โดย ปโรตอน รถจากแดนเสือเหลือง มาเลเซีย จำหน่ายได้ 166 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 14.9 % ส่วนเบอร์ 1 โตโยตา จำหน่ายรถยนต์ประเภทนี้ได้ 649 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 58.4 % อันดับที่ 3 เป็นของ ฮอนดา 138 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 12.4 % มิตซูบิชิ อยู่ในอันดับที่ 4 ของความนิยม 73 คัน ส่วนแบ่งตลาด 6.6 % อันดับ 5 มาไกลเหมือนกัน เป็นเอมพีวีจากแดนกิมจิ ซังยง มียอดจำหน่ายที่ 27 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2.4 %
สำหรับตลาดใหญ่มีความนิยมอย่างต่อเนื่อง และมีการนำรถยนต์โมเดลใหม่ออกสู่ตลาดไม่ขาดสาย ตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กยังทำตัวโดดเด่นดึงลูกค้าเข้าโชว์รูมผู้จำหน่ายได้อย่างเห็นผลตลอดเวลา ค่ายใหญ่อย่าง ฮอนดา และมาซดา ถึงจะมีรถยนต์ใหม่เอี่ยมความนิยมสูง ขึ้นโชว์รูม แต่จากปัญหาด้านการผลิตที่เกิดขึ้น ทำให้ยังไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร เป็น 2 ยี่ห้อดังที่มียอดจำหน่ายรถยนต์นั่งลดลงจากเดือนเมษายนปีที่แล้ว ขณะที่อีก 3-4 ยี่ห้อที่มียอดจำหน่ายที่ลดลง เป็นยี่ห้อนำเข้าจากยุโรป แต่ก็ลดลงเพียงเล็กน้อยรายละ 1-2 คันเท่านั้นเอง
รถยนต์นั่งของ โตโยตา ตั้งแต่รุ่นเล็ก ยารีส ไปจนถึงรุ่นใหญ่อย่าง แคมรี ยังคงได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ ทำยอดจำหน่ายรวมกันได้ทั้งหมด 10,958 คัน คิดเป็น 36.7 % ของตลาดรถยนต์นั่งทั้งหมดในเดือนเมษายน ส่วน ฮอนดา ที่ถึงจะมีตัวประกบกับ โตโยตา ในทุกเซกเมนต์ของรถยนต์นั่ง แต่ก็ทำได้เพียงอันดับที่ 2 มียอดจำหน่ายรวม 6,866 คัน คิดเป็น 23.0 % ของตลาด ต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อสถานการณ์ปกติอีโคคาร์ของ ฮอนดา จะช่วงชิงความได้เปรียบที่ โตโยตา ยังไม่มีรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ทำยอดจำหน่ายขยับขี้นมาหายใจรดต้นคอ หรือดีกว่านั้น แซงขึ้นหน้า โตโยตา ไปได้หรือไม่ สำหรับอันดับที่ 3 ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในตลาดรถยนต์นั่ง เป็นรถยนต์ของทาง นิสสัน จำหน่ายได้ทั้งสิ้น 3,288 คัน รับส่วนแบ่งการตลาดไป 11.0 % อันดับที่ 4 เป็นผลงานของทางค่าย มาซดา จำหน่ายทั้งหมด 2,456 คัน ได้ส่วนแบ่งการตลาด 8.2 % อันดับที่ 5 เป็นของ ฟอร์ด ที่มีน้ำมีนวลขึ้นเยอะ หลังจากที่ ฟิเอสตา ติดตลาดเดือนเมษายน ฟอร์ด จำหน่ายรถยนต์ทุกโมเดล 1,839 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 6.2 %
เดือนพฤษภาคม ผลกระทบจากญี่ปุ่นเดินทางมาขึ้นฝั่งที่ประเทศไทยเต็มที่ จะเกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และยอดจำหน่ายเดือนพฤษภาคม จะทรุด จะทรง หรือไม่ประการใด มีคำตอบในฉบับหน้า
เรื่องโดย : ขุนสัญจร
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : วิถีตลาดรถยนต์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83707