มาตรวัดตลาดรถ
ยังไม่นิ่ง
ที่ว่ายังไม่นิ่ง ก็เพราะตัวเลขการขายที่ผ่านมา เดือนมกราคม ตัวเลขการขายเพิ่มถึง 38.0 % เดือนกุมภาพันธุ์ ยอดการขายเพิ่มขึ้นถึง 42.5 % เดือนมีนาคม เพิ่มถึง 43.1 % แต่พอมาถึงเดือนเมษายน ยอดการขายกลับเพิ่มเพียง 17.8 % เท่านั้นเอง
จะว่าไปแล้ว เหตุการณ์ภัยพิบัติ ที่ประเทศญี่ปุ่นประสบอยู่ เป็นตัวที่ดึงยอดการขายเดือนนี้ ให้เพิ่มขึ้น ได้น้อยกว่าที่คาดหมาย หรือน้อยกว่า หากคิดเป็นบัญญัติไตรยางค์ ก็ตามที แต่ก็พอมองออกว่า ยอดการขายในปีนี้ คงจะยังผันผวนอีกหลายเดือน เพราะกว่าค่ายญี่ปุ่นทั้งหลาย จะปรับกำลังการผลิต ให้เข้าที่เข้าทาง ก็คงอีกหลายเดือนอยู่ ประมาณกันว่า พ้นเดือน 7 ไปแล้ว ตัวเลขถึงจะนิ่ง
แต่หากดูจากแนวโน้มทั้งปวงแล้ว นักการตลาดส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อกันว่า ตัวเลข 8 แสน 8 สำหรับปีนี้ คงมีความเป็นไปได้มากทีเดียว
มาดูเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีบ้านเรากันก่อน หลังจากพบปะพูดคุยกับภาคเอกชนส่วนใหญ่ในวงการแล้ว กรมสรรพสามิต ก็เตรียมทิ้งทวน ส่งเข้าที่ประชุม ครม. นัดสุดท้าย ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีรถยนต์หนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษีรถยนต์ใหม่ จากเดิมจะเก็บภาษีโดยพิจารณาจากขนาดของเครื่องยนต์ เป็นความจุ ซีซี และแรงม้า ควบคู่กัน ส่วนโครงสร้างภาษีใหม่นั้น เน้นไปที่เรื่องการลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ตามมาตรฐานของยุโรป สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์เป็นหลักการสำคัญ
โครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีทั้งหมด 43 อัตรา ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนด้านนโยบาย การจัดเก็บภาษีและการลงทุน และยังไม่สนับสนุนให้มีการลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คลัง, อุตสาหกรรม และพลังงาน บอกว่า ได้ตั้งทีมงานขึ้นมาศึกษา ตั้งแต่ปี 2553 และหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกยี่ห้อ ซึ่งทางฝั่งของผู้ผลิตขอเวลาปรับตัว 5 ปี แต่กระทรวงอุตสาหกรรมจะให้เวลาแค่ 2 ปี ส่วนกระทรวงการคลังให้ 3 ปี การปรับปรุงโครงสร้างภาษีในครั้งนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจาก 3 กระทรวงอย่างเป็นเอกฉันท์ ทั้ง ที่ผ่านมาทั้ง 3 กระทรวงได้
ล่าสุด ได้มีการปรับลดภาษีให้กับรถยนต์ อี 20 และ อี 85 ทำให้รัฐสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้สะท้อนว่ามีการใช้พลังงานทดแทนอย่างเป็นรูปแบบ โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ จึงมีอัตราภาษีน้อยลง เพื่อให้เกิดความเรียบง่าย และเกิดความชัดเจนด้านนโยบาย การจัดเก็บภาษี และการลงทุน และมีการกำหนดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ มาเป็นฐานในการคำนวณภาษี เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดภาวะโลกร้อนด้วย
โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1. กลุ่มรถยนต์นั่งกรณีที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี 2. กลุ่มรถยนต์ที่มีพื้นฐานกระบะ และกลุ่มสุดท้ายเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่
ขณะที่ภาคเอกชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างใหม่ เพราะยังต้องการเวลาในการปรับตัวมากกว่า 3 ปี เพราะมันไปกระทบกับแผนการผลิต ทั้งภายในประเทศ และเพื่อการส่งออก รวมทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์ "สึนามิ" ก็ขยายวงกว้างขึ้น ก็เลยต้องมีการปรับตัว แก้ไขสายการผลิตให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อน ถึงจะมีเวลามาคุยกันเรื่องนี้ได้
แต่สรุปท้ายสุด ก็คือ เรื่องยังไม่ได้เข้า ครม. เพราะเสียงคัดค้านมันค่อนข้างดัง ทั้งจากฝ่ายผู้ผลิตเอง หรือฝ่ายภาครัฐ ที่เจ้ากระทรวงบางราย ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ต้องการให้มีการปรับปรุง เรื่องก็เลยเป็นอันตกไป ค่อยนำเสนอในรัฐบาลชุดใหม่อีกเกือบ 6 เดือน
จบข่าวเรื่องภาษี แต่ก็ทำใจกันไว้ก่อน ว่ามีการปรับภาษีใหม่กันเมื่อไหร่ รถจะต้องมีราคาแพงขึ้น อย่างน้อยก็คันละเกือบ 2 หมื่นบาทนั่นแหละเป็นเรื่องที่คาดเดาได้
กลับมาตัวเลขมาตรวัดกันก่อน
สรุปยอดการขายประจำเดือนเมษายน ขายได้เพิ่มขึ้น 17.8 % ขายทั้งตลาด 67,283 คัน ทำให้ยอดรวม 4 เดือน ยังเพิ่มอยู่ 36.6 % ขาย 305,902 คัน เลยคาดเดากันว่า ปีนี้ไม่น่าจะหนี 8 แสนปลายๆ แน่นอน
ค่ายที่ทำตัวเลขการขายมากสุด โตโยตา ขาย 24,155 คัน เพิ่มขึ้น 7.0 % ส่วนแบ่ง 35.9 % อันดับสอง อีซูซุ ขาย 11,798 คัน เพิ่มขึ้น 10.0 % ส่วนแบ่ง 17.5 % อันดับสาม ฮอนดา ขาย 7,430 คัน แต่ลดลง 5.3 % ส่วนแบ่ง 11.0 % อันดับสี่ มิตซูบิชิ ขาย 5,345 คัน เพิ่มเยอะ 82.2 % ส่วนแบ่ง 7.9 % อันดับห้า นิสสัน ขาย 5,028 คัน เพิ่ม 32.8 % ส่วนแบ่ง 7.5 %
แยกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง ยอดรวมเพิ่ม 18.0 % ขายกันได้ 29,832 คัน รวม 4 เดือน เพิ่ม 50.6 % ขาย 132,888 คัน โดยมี โตโยตา ขาย 10,958 คัน ลดลง 5.2 % ส่วนแบ่ง 36.7 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 6,866 คัน ลดลง 2.5 % ส่วนแบ่ง 23.0 % ที่สาม นิสสัน ขาย 3,288 คัน เพิ่ม 66.1 % ส่วนแบ่ง 11.0 % ที่สี่ มาซดา ขาย 2,456 คัน น้อยลง 21.1 % ส่วนแบ่ง 8.2 % ที่ห้า ฟอร์ด ขาย 1,839 คัน เพิ่มมากมาย 1,348.0 % ส่วนแบ่ง 6.2 %
แชมเพียนผู้เสียภาษีสูง แจกวาร์ ขาย 3 คัน เท่ากับ ลัมโบร์กินี มิตซูโอกะ ขาย 2 คัน แฟร์รารี และ โลทัส อย่างละ 1 คัน
ประเภทรถกระบะ 1 ตัน ทั้งตลาดแชมพ์ยังคงเป็น โตโยตา 46,951 คัน รองลงมาเป็น อีซูซุ 45,787 คัน และมิตซูบิชิ 12,518 คัน ตามลำดับ
ส่วนประเภทรถขับเคลื่อน 4 ล้อ อันดับหนึ่ง โตโยตา 3,648 คัน ตามด้วย อีซูซุ 1,099 คัน และ นิสสัน 530 คัน
รถเพื่อการพาณิชย์ หรือรถบรรทุก ก็ยังขายได้เพิ่มขึ้น 14.5 % ขาย 1,834คัน ยอดรวมเพิ่ม 35.4 % ขาย 8,907 คัน โดยมี อีซูซุ ขาย 967 คัน มากสุด เพิ่ม 24.5 % ส่วนแบ่ง 52.7 % ที่สอง ฮีโน ขาย 700 คัน เพิ่ม 1.4 % ส่วนแบ่ง 38.2 % และที่สาม โวลโว ขาย 70 คัน เพิ่มมากมาย 600.0 % ส่วนแบ่ง 3.8 %
รถอเนกประสงค์อื่นๆ ขายน้อยลง 30.1 % ตัวเลขเหลือ 1,351 คัน ยอดรวมเพิ่มอยู่ 18.8 % ขาย 7,913 คัน โดย โตโยตา ยังคงขายมากที่สุด 816 คัน
คงต้องคอยดูยอดการขายเดือนพฤษภาคม ที่ตัวเลขก็จะยังคงไม่นิ่งแน่นอน เพราะผลกระทบยังคงอยู่มากมาย โรงงานประกอบทำงานกันแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ เพราะไม่มีชิ้นส่วนมากประกอบ คงต้องคอยตัวเลขเดือนมิถุนายน ไปแล้วนั่นแหละ ถึงจะค่อนข้างนิ่งได้
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83519