โค้งอันตราย
กลับสู่โหมดปกติ
ผลพวงจากภัยภิบัติ ที่ถล่มประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่กระทบกับธุรกิจการผลิตยานยนต์ ก็ค่อยๆ กลับมาสู่การทำงานตามปกติ เมื่อบรรดาผู้ผลิตต่างทยอยกันหาหนทางแก้ไขกันถ้วนหน้า ทำให้ค่ายใหญ่อย่าง โตโยตา ก็เริ่มเข้าสู่การทำงานตามปกติไปแล้ว
ส่วนค่ายอื่นๆ แม้ว่าจะไม่มีรายงานข่าวออกมา แต่ก็ค่อนข้างจะเข้าที่เข้าทางแล้ว เหลือก็แต่น้องเล็กคนใหม่ ที่กระทบกระเทือนอย่างหนักอยู่เจ้าเดียว ที่ทำเอาต้องหยุดกิจกรรมการตลาด หยุดการโฆษณา สารพัดอย่าง แม้แต่ผู้จำหน่ายก็หยุดรับจอง เพราะไม่รู้จะส่งรถได้เมื่อไหร่
กลับมาหาความรู้เล็กๆ น้อยๆ กันดีกว่า ท่ามกลางข้าวของราคาแพง อาหารราคาแพง ก๋วยเตี๋ยวสยามสแควร์ขึ้นไปเป็นชามละ 60 บาทเข้าไปแล้ว กินข้าวกลางวันมื้อเดียว เกือบ 100 บาท แล้วรัฐบาลใหม่จะว่ายังไงกันดีล่ะ
เรื่องแรกมาจากอัตราค่าจ้าง ลูกจ้างที่มีฝีมือ มีรายละเอียดอัตราค่าจ้าง อาทิ ช่างสีรถยนต์ แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับ 1 เตรียมผิวงานได้ ระดับ 2 ซ่อมสีและพ่นสีจริงได้ และระดับ 3 เทียบสี ผสมสี ซ่อมรอยต่อสีได้ อัตราค้าจ่างขั้นต่ำ 315, 380 และ 445 บาท/วัน ตามลำดับ
แต่ถ้าเป็นช่างเคาะ ระดับ 1 เคาะ ตัดเหล็ก ขึ้นรูป ย้ำหมุด ระดับ 2 ปะผุ เปลี่ยนและตกแต่งงาน ระดับ 3 เชื่อมวัสดุอื่นนอกเหนือจากเหล็ก พลาสติค อัตราค้าจ่างขั้นต่ำ 335, 420 และ 505 บาท/วัน ตามลำดับท้ายสุด ช่างซ่อมรถยนต์ ระดับ 1 ให้บริการเบื้องต้นได้ 275 บาท ระดับ 2 ปรับแต่งเครื่องยนต์ได้ทั้งเบนซิน ดีเซล 360 บาท และระดับ 3 ต้องตรวจสอบ หาสาเหตุของปัญหาในระบบที่ซับซ้อนขึ้น 445 บาท/วัน
เรื่องต่อไปนี่ จะไม่พูดถึงเดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้อยู่ในวงการรถยนต์ เป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ ที่ตั้งท่าจะดันเข้าที่ประชุม ครม. นัดสุดท้าย ให้ผ่านให้ได้ แต่ไปโดนคัดค้านจากกระทรวงอื่น ก็เลยตกไป คอยรัฐบาลสมัยหน้า ให้มาว่ากันอีกที
ตามทีมีการพิจารณากันนั้น กรมสรรพสามิตเสนอโครงสร้างภาษีใหม่ จะเน้นไปที่เรื่องการลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ตามมาตรฐานของยุโรป สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์เป็นหลักการสำคัญ
แต่บังเอิญว่า มันไปข้องแวะกับรถยนต์ที่เคยส่งเสริมกันอยู่ แถมด้วยวิทยาการทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไปเร็วมาก จนกระทั่งบ้านเรา โดยเฉพาะภาครัฐ ตามกันไม่ค่อยทัน ส่วนนักข่าวสายรถยนต์น่ะ ความจำเป็นมันบังคับ ให้ต้องรู้ ต้องเข้าใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่งั้นจะเขียนข่าวไม่ได้ เขียนแล้ว คนที่รู้จริงเขาว่าเอาได้
เอาง่ายๆ ว่า ตกลงจะส่งเสริมอะไรกัน ส่งเสริมรถที่ปล่อยไอเสียน้อย ส่งเสริมรถใช้พลังงานทดแทน แล้วจะเป็นพลังงานทดแทนแบบไหนกัน ว่ามาให้แน่ รถยนต์ไฮบริดล่ะ ส่งเสริมแบบใช้เครื่องยนต์เบนซิน หรือดีเซลดี รถไฟฟ้าล่ะ สนับสนุนรถไฟฟ้าแบบไหน 100 % หรือใช้เครื่องยนต์มาปั่นไฟเข้าแบทเตอรี แล้วใช้แบทเตอรีทำให้รถวิ่ง สารพัดจะวิทยาการสสมัยใหม่ทั้งนั้น
ก็คงต้องคอยดูว่า รัฐบาลชุดใหม่ จะว่ายังไงกันดี
ที่แน่ๆ ภาครัฐสนับสนุนให้ภาคการขนส่ง ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แกสธรรมชาติ ซีเอนจี ได้ แต่ก็มีเสียงร้องจาก สมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสาน ว่าเมื่อส่งเสริมให้ใช้แล้ว กลับมีปัญหาการขาดแคลนแกสธรรมชาติ และปัญหาบริการล่าช้า เพราะสถานีบริการก็มีน้อย แถมในต่างจังหวัด พอแกสหมด ก็ต้องคอยให้รถบรรทุกไปส่งสถานีบริการ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ก็ต้องเสียเวลาคอย ไม่ใช่เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่คอยกันเป็นวัน
ล่าสุดก็ยกขบวนกันไปคุยกับ กระทรวงพลังงาน กับ ปตท. แล้ว หากยังไม่มีคำตอบ ก็จะขนผู้ประกอบการที่ใช้แกส ซีเอนจี ทั้งรถบรรทุกขนส่ง รถแทกซี รถตู้ และรถโดยสาร ไม่ต่ำกว่า 40-50 คัน มาชุมนุมที่กระทรวงพลังงาน และบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเรียกร้องให้เร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว
ก็สรุปได้ข้อยุติ 3 ข้อ ดังนี้ 1. ตรวจสอบสถานีจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวี ให้สามารถจำหน่ายได้เต็มกำลัง 2.กระทรวงพลังงานจะหารือกับ ปตท. ในการลงทุนขยายสถานีจำหน่ายให้กับรถบรรทุกโดยเฉพาะ แยกกับการจำหน่ายให้รถยนต์ทั่วไป และ 3. ถ้าหากได้ข้อสรุปจาก 2 ข้อข้างต้น จะการเสนอไปยัง คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ชดเชยราคา แกส ซีเอนจี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีการชดเชยให้กับ ปตท. จำนวน 2 บาท/กิโลกรัม
พอหันมาทางแกส แอลพีจี ก็มีรายงานว่า ภาครัฐมีนโยบายลอยตัวราคาแกสปิโตรเลียมเหลว แอลพีจี ในภาคอุตสาหกรรม ผู้ค้าก็เตรียมปรับขึ้นราคาจำหน่ายแกส แอลพีจี เป็นกิโลกรัมละประมาณ 20 บาท จากปัจจุบัน ขายกันอยู่ 13.68 บาท
เหตุเพราะโดยภาพรวม รถยนต์ที่ใช้แกส แอลพีจี มีการเติบโตขึ้นมาก หลังราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาใช้แกส แอลพีจี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากราคาค่าติดตั้งถูกกว่าการติดตั้งแบบใช้ แกส ซีเอนจี ประกอบกับปริมาณของสถานีบริการ ซีเอนจี ยังมีไม่พอเพียง แถมต้องคอยคิวในการเติมแต่ละครั้ง ค่อนข้างนาน ส่งผลให้มีปั๊มที่ให้บริการ แอลพีจี เกิดขึ้นมาก แต่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ตลาดแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น ผู้ค้าจึงมีนโยบายขยายสาขาปั๊ม แอลพีจี เพื่อขายแกสให้กับผู้ใช้รถยนต์โดยตรง เพราะสามารถสร้างกำไรได้ดีกว่าการขายผ่านตัวแทน
เห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นคนเดินทางต่างจังหวัด จะพบสถานีบริการแกสธรรมชาติ แอลพีจี มีทั่วทุกหัวระแหง ขณะที่ สถานีบริการ ซีเอนจี ค่อนข้างหายาก จังหวัดเล็กหน่อย ก็มีเพียงแห่งเดียว คนก็เลยแห่กันไปใช้ แอลพีจี กันหมด
คงอีกนานมาก กว่าสถานีบริการ ซีเอนจี จะมีทั่วทุกหัวระแหง เพราะนโยบายหลากหลายเรื่อง ที่ทับซ้อนกันอยู่ ท่าทางต้องฝากให้กับรัฐบาลชุดใหม่อีกเรื่อง หรือหากไม่ฝาก ก็ค่อยชักชวนกันมาเดินชบวนตอนรัฐบาลชุดใหม่ก็แล้วกัน
เพราะมันเป็นปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนเหมือนกันนะเนี่ย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83497