รอบรู้เรื่องรถ
อย่าเอามือใหม่ ไปจับโจร !
กว่า "ฟอร์มูลา" ฉบับนี้จะถูกวางจำหน่าย คดีอุกอาจระดับนี้ ก็คงถูกลืมไปเกือบหมดแล้ว ผมเห็นว่าเป็นคดีที่มีรถยนต์ และตำรวจจราจรเข้ามาเกี่ยวข้อง และยังเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นแก่พวกเราได้เช่นเดียวกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง การย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ และวิเคราะห์ด้วยเหตุผล และความเป็นกลาง น่าจะช่วยป้องกันความสูญเสียต่อผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องเข้ามาเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ในอนาคตครับ
คนร้ายรายนี้ใช้มีดเป็นอาวุธ จี้บังคับให้เจ้าของรถสละรถที่กำลังขับอยู่ ถ้าคนร้ายมีปืนที่พร้อมยิงเป็นอาวุธ คงเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ยากครับ หากเราขัดขืน แต่ถ้ามีเพียงมีด แล้วเราลอคประตูทุกบานอยู่ในขณะนั้น โอกาสที่คนร้ายจะทำอะไรเราได้นั้น มีน้อยมากครับ เราสามารถขับรถหนีไปได้เลย โดยไม่ต้องรีบร้อนหรือตื่นตกใจ ในสภาวะของบ้านเมือง และสังคมเช่นทุกวันนี้ผมขอแนะนำให้ลอคประตูทุกบานทันทีที่เข้านั่งประจำที่แล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงที่ขับรถเอง ถ้ารถที่จอดไว้อยู่ในที่ๆ ไม่มีคนพลุกพล่าน เมื่อกลับไปยังรถ ต้องแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา หรือป้วนเปี้ยนอยู่ในระยะใกล้อย่างผิดสังเกตครับ เข้ารถได้แล้วรีบลอคประตูให้เร็วที่สุด เพราะแค่รถขยับช้าๆ อยู่ในลานจอดรถ คนร้ายมันจะเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างๆ ทันที
หลังจากใช้มีดไล่แทง และยึดรถของเจ้าของรถรายนี้ไปได้แล้ว คนร้ายก็มุ่งเปลี่ยนอาวุธจากมีดเป็นปืน โดยหาโอกาสยึดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีอาวุธปืนประจำกายทุกคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรด้วย ผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ คือ ตำรวจจราจรของ สน. ดุสิต ซึ่งนั่งหลบความร้อนอยู่ในป้อม และถูกกระหน่ำแทงอย่างทารุณ แล้วยิงด้วยปืนที่แย่งมาจากตำรวจเคราะห์ร้ายผู้นี้จนเสียชีวิตทันที ผมไม่ทราบว่าตำรวจจราจรรายนี้ มานั่งรับไอเย็นอยู่ในป้อมด้วยความชอบธรรม หรือว่าที่จริงแล้วต้องขี่จักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนท้องถนน หากเป็นกรณีแรกผมไม่ตำหนิอย่างใดทั้งสิ้น ที่พลาดท่าเสียทีแก่วายร้ายรายนี้ เพราะไม่มีใครระวังตัวในระดับสูงสุดตลอดเวลาอยู่แล้ว ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ปกติเช่นนี้ ถือเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ แต่ถ้าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ขณะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติหน้าที่ ผมขอให้ผู้อ่านตัดสินกันเองดีกว่า
หลังแย่งปืนสำเร็จและสังหารตำรวจซึ่งเป็นเจ้าของปืนแล้ว คนร้ายกลับมาที่รถ ขับต่อไปโดยปีนข้ามเกาะกลางถนนไปขับในลู่ของรถที่แล่นสวนทางมา ในจำนวนผู้ที่ขับส่วนทางกับคนร้าย มีผู้ขับแทกซีรายหนึ่ง ทราบเรื่องนี้โดยการฟังข่าวทางวิทยุ จึงเบนรถเข้าขวางทางรถของคนร้าย จึงถูกคนร้ายลงมากระหน่ำยิงเสียชีวิตทันที ผมไม่ต่อต้านในการพากันสรรเสริญคนขับแทกซีรายนี้ว่าเป็น "พลเมืองดี" แต่ถ้าพิจารณาการกระทำเช่นนี้ด้วยใจที่เป็นกลาง ว่าถูกต้อง และสมควรหรือไม่ ผมว่าไม่ อย่างแน่นอนครับ
ถ้าผมเป็นผู้เช่ารถแทกซีมาขับหาเลี้ยงชีพ หน้าที่อย่างหนึ่งของผม คือ ต้องดูแลรักษา และขับมันด้วยวิธีที่ถูกต้อง ไม่ตกหลุมแรง เบียดทางเท้า หรือเกาะกลางถนน หรือกำแพง ผมไม่มีสิทธิ์นำรถที่เช่ามา ไปให้ใครชนเสียหายด้วยเหตุผล หรือความต้องการส่วนตัว แม้จะมีการประกันภัยคุ้มครองอยู่ ซึ่งบริษัทที่รับประกันอาจจะไม่ยอมจ่ายก็ได้ เพราะเป็นการสร้างความเสียหาย โดยเจตนารู้ตัวล่วงหน้า มิใช่เหตุสุดวิสัย
ผมต้องประเมินความสามารถตนเองว่าไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ไม่เคยฝึกฝนการสู้กับโจรที่โหดเหี้ยม และมีปืนเป็นอาวุธ และเพิ่งฆ่าตำรวจมาสดๆ ร้อนๆ ด้วย
ไม่มีการขอร้องให้คนขับแทกซีเช่นผม ขัดขวางคนร้ายมิให้ขับต่อไป โดยให้ผมเอาชีวิตเข้าเสี่ยง และรถของผู้อื่นด้วย
มิได้มีใครเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตอยู่เฉพาะหน้ากับคนร้าย ที่ผมอาจจะช่วยชีวิตเขาได้ หากยอมเสี่ยงชีวิตด้วย
หากผมเป็นภรรยา หรือลูกของคนขับแทกซีรายนี้ และสามารถสื่อถึงเขาได้ ผมจะต้องต่อว่าอย่างหนัก ว่าทำสิ่งนี้ลงไปได้อย่างไร โดยไม่รับผิดชอบต่อครอบครัวที่ดูแลอยู่ แลกกับการได้รับการชื่นชมจากสื่อต่างๆ หากรอดชีวิตมาได้
สังคมไทยยกย่องคนที่ตายแล้ว ว่าปราศจากความผิด ความเลว ความบกพร่องทั้งปวง ขอเพียงให้หยุดหายใจ สิ้นชีวิตแล้วเป็นใช้ได้ ผมว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่งครับ
และเราควรหาชื่อเรียกผู้ที่ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจับ หรือขัดขวางการหลบหนีของคนร้ายกันใหม่ อย่าใช้คำว่า "พลเมืองดี" มันเป็นเสมือนการกล่าวหา พลเมืองดีอื่นๆ ส่วนใหญ่ของประเทศว่ามิใช่พลเมืองดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกระทรวงวัฒนธรรม น่าจะตั้งรางวัลจัดการประกวดตั้งชื่อใหม่ของผู้มีพฤติกรรม หรือประกอบวีรกรรมทำนองนี้ ให้ความเป็น "พลเมืองดี" ของผู้ที่ประพฤติดี ประกอบสัมมาชีพไม่เบียดเบียนใคร ยังคงอยู่ต่อไป
ดูเหมือนจะต้องมีการประโคมข่าว จำนวนเงินที่ทายาทและคู่สมรสของผู้เสียชีวิตจะได้รับ ว่ามันมาก ดูเหมือนจะคุ้มค่า ยุติธรรม และเป็นความกรุณาอย่างสูงส่ง หากมีเงินก้อนหนึ่ง จากกระเป๋าส่วนตัวของตำรวจใหญ่ระดับนายพล แถมให้อีกต่างหาก มันไม่มีทางชดเชยความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีหรือภรรยา ของผู้ที่ล่วงลับไปได้หรอกครับ
ประชาชนสุจริตที่ได้อ่านข่าวทุกคน อยากถาม "ตำรวจใหญ่" พวกนี้ว่า ร่ำรวยมาได้อย่างไร จึงควักเงินส่วนตัวแจกญาติผู้ล่วงลับ และเป็น "ข่าวดัง" ได้เสมอ
แล้วการออกวาจาประกาศิตจากปากนายพลพวกนี้ ให้บรรจุภรรยา บุตร ของผู้ล่วงลับเข้ารับราชการนั้น ถูกต้องและมีกฎหมาย กฎ ระเบียบ รองรับหรือไม่ หรือว่าใช้วิธีแย่งชิงสิทธิของผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบอื่นเขา ความช่วยเหลือต่างอยู่ในกรอบของความถูกต้อง ความชอบธรรมครับ อย่าทำให้ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ กลายเป็นอภิสิทธิชนเลยครับ มันเป็นคนละเรื่องกัน
หลังจากฆ่าพลเมืองดีไปแล้ว คนร้ายเดินเพ่นพ่านอยู่สักครู่ ท่ามกลางตำรวจจราจรหลายคนที่ยืนดู เพราะทำอะไรไม่ถูก จากนั้นคนร้ายตรงเข้าไปใช้ปืนขู่ผู้โดยสารในรถคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลัง ให้ลงจากรถ ขู่ผู้ขับซึ่งเป็นแพทย์หญิงให้ย้ายไปนั่งด้านหน้าซ้าย เพื่อขับหลบหนีด้วยตนเอง ระหว่างทางมีตำรวจจราจรที่ทราบเรื่องได้จอดรถจักรยานยนต์ขวางทางไว้ลู่หนึ่ง ส่วนอีกลู่หนึ่งใช้ร่างกายตนเองขวาง คิดได้อย่างไรไม่ทราบกับวายร้ายที่เพิ่งฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมมา 2 ราย คงจะชินกับพฤติกรรมของสุจริตชนผู้ใช้รถชาวไทย ที่พากันกลัว "หัวปิงปอง" กันจนหงอ ต้องอบรมกันใหม่ครับ ว่าอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนร้ายระดับนี้ มันเลยชนเสยจนกระเด็น อย่าหาว่าผมซ้ำเติมเลยครับ ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองในวันนี้ด้วย อย่าว่าแต่คนร้ายเลย ถ้าไปถาม "คนดี" ที่ขับรถว่ามีใครไม่อยากเสย "หัวปิงปอง" พวกนี้ให้กระเด็นบ้าง ถ้าไม่กลัวติดคุก ผมว่าแทบไม่มีครับ ทุกคนเบื่อหน่ายกับการซุ่มจับ รีดไถ รวมทั้งพวกที่สังกัดจราจรกลาง ซึ่งหากินเป็นหมู่เหมือนฝูงแร้งลงทึ้งศพ แล้วจะไปเหลืออะไร ในความรู้สึกของวายร้ายรายนี้ ที่คงเคยถูกรีดไถมาบ้างไม่มากก็น้อย ถ้าเป็นภาพยนตร์ คงต้องบอกว่าเป็นฉากเด็ดเผ็ดมันก่อนจบ แต่นี่เป็นเรื่องจริงอันเศร้าสลดครับ เพราะเป็นฉากรุมยิงคนร้ายโดยไม่ต้องคำนึงถึงชีวิตของตัวประกัน ตำรวจที่แห่ตามทัน ได้ใช้รถขวาง รถที่คนร้ายขับอยู่ การหยุดการหนีโดยรถของคนร้ายได้สำเร็จ น่าจะเป็นความสำเร็จขั้นสำคัญ และจะต้องมีการวางแผนช่วยเหลือตัวประกันให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะด้วยการเกลี่ยกล่อมหรือยิงคนร้ายก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวประกันเป็นสิ่งสูงสุด จะเป็นด้วยความอ่อนหัด หรือค่านิยมประเพณี หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ของตำรวจไทย ที่จะไม่ปลอดให้คนร้ายรอดชีวิตไปสู่กระบวนการยุติธรรม หากได้สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างต่อสู้ เป็นที่รู้กันว่า แม้จะจับเป็นได้ ประชาชนก็สามารถทายหรือแม้แต่พนันกันได้ ว่าในช่วงการนำตัวไป "ทำแผน" จะต้องมีการวิสามัญฆาตกรรม เพราะคนร้ายที่ถูกใส่กุญแจมือ บังอาจแย่งปืนจากเอวของเจ้าหน้าที่ จึงถูกเจ้าหน้าที่อื่นยิงตาย แต่ถ้าเป็นโจรปล้นฆ่าคนชรา-เด็ก อย่างโหดเหี้ยมเพียงใดก็ตาม จะไม่มีการวิสามัญฆาตรกรรมหรอกครับ ตำรวจจะดูแลอย่างดี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ติดคุกไม่ถึง 10 ปี ก็กลับออกมาฆ่าคนใหม่ได้
วายร้ายรายนี้ถูก "พิพากษา" แต่แรกแล้วให้ตายตกไปตาม "สูตร" จึงเป็นคราวเคราะห์อย่างยิ่งของแพทย์หญิงที่ตกเป็นตัวประกัน รถของเธอถูกรุมยิง นับรูกระสุนได้เกือบ 40 รู ที่ไม่เป็นรูอีกไม่ทราบจำนวน ยางทั้ง 4 เส้นถูกยิงแตกหมด ตัวประกันถูกกระสุนในจุดอันตราย แต่ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต เป็นโชคล้วนๆ ที่กระสุนจำนวนมากมายไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จนถึงแก่ชีวิต ข่าวจากบางแหล่งแจ้งว่า ตำรวจได้ตะโกนบอกให้ตัวประกันหมอบลง ก่อนระดมยิงแล้ว ผมรับรองเลยว่า ถ้าตั้งคำถามแก่ตำรวจทุกคนที่รุมยิงรถนี้ ว่าถ้าตัวประกันเป็นมารดา ภรรยา น้องสาว บุตรสาว หรือญาติสนิท จะยังคง "ใช้วิธีรุมยิงหรือไม่" ทุกคนจะต้องบอกว่าไม่
ถ้าเกิดขึ้นในประเทศที่กฎระเบียบ กฎหมาย และการบังคับใช้ไม่หยอนยาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติน่าจะถูกตัวประกันเรียกค่าเสียหายอย่างหนัก ไม่ใช่อยากได้เงินนะครับ แต่เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่มันเกิดขึ้นยากครับในประเทศนี้ โดยเฉพาะการต้องขัดแย้ง อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตำรวจ สุดท้ายก็ต้องยอมให้เรื่องเงียบไป ดีไม่ดีอาจถูกทวงบุญคุณก็ได้ว่า "ไม่ปล่อยให้ถูกฆ่าตายก็ดีแค่ไหนแล้ว ?"
ผมขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุด ต่อทายาทของผู้เสียชีวิตทุกคน ไม่มีอะไรมาทดแทนความสูญเสียนี้ได้ และขอชื่นชมต่อเจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้องบางคนที่คงได้ใช้วิจารณญาณอย่างถูกต้อง รอบคอบ และพยายามให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดแล้ว
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83297