รู้ลึกอุปกรณ์
สไตล์การขับรถบ้านเรา !
วิธีหรือสไตล์การขับรถในบ้านเรา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ คือ ตามใจตู ไว้ก่อน
ถามว่า ตามใจแล้วยังไงละน้อง ข้าน้อยขอตอบดังนี้
ประการแรก ขับช้า คือ ช้ายังไงก็ได้ บนถนนเส้นไหน เลนไหนก็ได้ มันเรื่องของตู ใครไม่เกี่ยว ส่วนจะช้าเพราะเห่อรถป้ายแดง คิดว่านั่งรถแล้วเท่ ขับกินลมชมวิว ขับรถเล่น ติดนิสัยขับไม่แข็ง ขับเร็วเขาบอกว่าอันตราย เลยคลานหรือกอดถนนไว้แน่นๆ ไม่ไปถึงไหนสักที เป็นผู้หญิง (เอกสิทธิ์ของสตรีไทย) จีบกัน ควักล้วงกัน โทรศัพท์ กดบีบี แต่งหน้าทาปาก และอื่นๆ
ประการที่ 2 ขับเร็ว เคยได้ยินว่าฝรั่งชาติต่างๆ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อยากมาเที่ยวเมืองไทย โดยมีแรงจูงใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ขับรถเร็วได้ตามที่ใจอยากขับ ขณะที่บ้านเขาทำไม่ได้ตำรวจเชคบิลล์ทันที โดยไม่มีการจ่ายศาลเตี้ย
ประการที่ 3 ดื่มแล้วขับ ถือว่ายังทำตามใจตูได้สบายในบ้านนี้เมืองนี้ ของเมาก็มีขายอยู่ตามถนนรนแคมอย่างเคย การลงโทษที่ประกาศว่ารุนแรงขึ้นก็ดูจะไม่ขลัง คือ ดื่มเหล้าแล้วยังขึ้นไปขับรถได้ เป็นเรื่องปกติไม่เชื่อท่านลองดูเองเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่จริง ขณะที่บ้านอื่นเมืองอื่น เขาเอาจริงเอาจัง ที่เมกา
ไปเที่ยวผับหรือบาร์ อยากซดเหล้า ต้องไปรถสาธารณะ หรืออยากกินเหล้าบนรถมันซะเลยและหรูหน่อย ต้องลงขันเช่ารถลีมูซีน
เขียนมาทั้งหมดแค่สะท้อนความจริง โดยไม่หวังว่าอะไรจะดีขึ้นหรอกครับ
ตามมาติดๆ ด้วยคดีน่าสนใจมากๆ ใครเจออย่างโจทก์รายนี้เซ็งทั้งเป็ดทั้งไก่ แถมมีทางเดียวต้องตะกายขึ้นศาล ทางการเห็นตำตาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเป็นคนก่อเรื่องซะนี่
นางรื่นเริง ไม่รื่นเริงมานานแล้ว เพราะที่ดินของเธอซึ่งติดทางหลวงในท้องที่จังหวัดหนึ่ง หน้าถนนมีชาวบ้านมาทำรั้วสังกะสีกั้นเป็นแนว ปิดกั้นที่ดินของเจ้าหล่อนกับทางหลวง มีเพิงเก็บเครื่องจักรเก่าและทรัพย์สินอื่นๆ เป็นการตัดสิทธิ์ นางรื่นเริง อย่างชัดๆ ร้องเรียนมาหนักหนาก็เหมือนเดิม(ตามธรรมเนียมไทยๆ)
กัดฟันไปเจรจากับผู้ก่อปัญหา คือ นางแล้วแต่ ให้รื้อรั้วขนย้ายข้าวของออกไป โดยอ้างว่าเป็นไหล่ทาง ซึ่งประชาชนมีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน นางแล้วแต่ ไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของ และปิดกั้นคนอื่น นางแล้วแต่ คงยักไหล่ บอกว่า แล้วแต่สิ ถนนเก่าเลิกใช้แล้วนี่นา ฉันยังเช่าจากทางการอีกต่างหาก จึงมีสิทธิ์เต็มๆ นางรื่นเริง อยากขึ้นถนนก็ไปทางอื่นสิ
นางรื่นเริง จำใจจ้างทนายยื่นฟ้อง นางแล้วแต่ เป็นจำเลย บังคับให้รื้อถอนรั้วสังกะสี และเพิงบนไหล่ทางออกไป ใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ
จำเลย คือ นางแล้วแต่ ยักไหล่อีกตามเคย และสู้คดี อ้างว่า นางรื่นเริง เป็นชาวบ้านชัดๆ ไม่ใช่เจ้าของทางหลวง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แถมตนยังมีสัญญาเช่ากับทางจังหวัดอย่างแน่นหนาปานขุนเขามายัน ขอให้ยกฟ้องของ นางรื่นเริง ทิ้งไปเสียเถิด นางแล้วแต่ ก็ได้เฮ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินยกฟ้อง โดยไม่ลังเล นางรื่นเริง หมดความรื่นเริงแต่ยังใจสู้ ให้ทนายยื่นอุทธรณ์เพื่อเอาชนะ แล้วได้เฮบ้าง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษากลับ บังคับให้ นางแล้วแต่ รื้นถอนรั้ว และเพิง ออกไปจาก
ไหล่ทางทั้งหมด ชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนจนกว่าจะรื้อเสร็จ
นางแล้วแต่ ยักไหล่แบบไม่ยี่หระเป็นหนที่ 3 ให้ทนายยื่นฎีกา โดยเชื่อว่าจะคว่ำ นางรื่นเริง ให้หน้าเหี่ยวในยกท้าย ชนิดหมดทางหือ
ศาลฎีกาคว้าคดีนี้มาส่องดูด้วยความเมื่อยล้า เพราะคดีไปกองอยู่ที่ศาลฎีกาเป็นพะเรอเกวียน เมื่อถึงคิวจึงพิจารณาและชี้ขาดออกมาเป็นฉากๆ ว่า
ที่พิพาทเป็นพื้นที่ไหล่ทางของทางหลวงหมายเลข....(สายเก่า) จึงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตทางหลวง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามกฎหมายแพ่ง ฯ มาตรา 1304 (2) กรมธนารักษ์ซึ่งได้รับมอบที่ดินคืนจากกรมทางหลวงเพื่อดูแลรักษา หรือจังหวัด... ในฐานะผู้รับมอบช่วงจากกรมธนารักษ์ ย่อมไม่มีอำนาจนำที่ดินส่วนนี้ไปให้เอกชนรายหนึ่งรายใด ใช้ประโยชน์เป็นการเฉพาะตัว เพราะแม้กรมทางหลวงจะหมดความจำเป็นในการใช้สอยและส่งคืนแล้ว แต่ที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตทางหลวงไม่ใช่ที่ราชพัสดุ ยังเป็นไหล่ทางซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงอยู่เว้นแต่ทางราชการจะได้เพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแล้วเท่านั้น การที่ทางจังหวัด...อนุญาตให้ นางแล้วแต่ เช่าที่พิพาทจากทางอำเภอ...เช่นเดียวกับเอกชนรายอื่นๆ อีกรวม 17 ราย เป็นการให้เช่าโดยปราศจากอำนาจ สัญญาเช่าไม่มีผลบังคับตามกฎหมายนางแล้วแต่ ไม่อาจกล่าวอ้างสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาทตามสัญญาเช่า เมื่อสร้างเพิงล้อมรั้วสังกะสีบนไหล่ทาง ปิดกั้นระหว่างทางหลวงกับที่ดินของ นางรื่นเริง ถือสิทธิเหนือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันอีแบบนี้ มันกระทบสิทธิของ นางรื่นเริง ในอันที่จะใช้ทางหลวงสายนั้น และละเมิดสิทธิของ นางรื่นเริง ในฐานะพลเมืองที่จะใช้ทรัพย์สินนั้นด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ตัดสินบังคับให้ นางแล้วแต่ รื้อรั้วและเพิงออกไปจากไหล่ทางแม่นยำแล้ว แม้จะได้ความว่า นางรื่นเริง มีทางขึ้นถนนด้านอื่นก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงให้แพ้คดี
ศาลฎีกายินดีพิพากษายืน ให้ นางรื่นเริง ชนะคดีรื่นเริงสมชื่อ แม้เมื่อยขาหน่อยก็ยอม
ที่ชัดเจน คือ หากเป็นทางหลวง ซึ่งหมายถึง ไหล่ทางนั้นด้วย ไม่ว่าถนนสายไหน จะเลิกใช้โดยสภาพไปแล้วก็ตาม ถ้ากฎหมายที่ดินยังไม่ประกาศยกเลิกสภาพทางหลวง มันผู้ใดจะไปครอบครองเป็นประโยชน์ ส่วนตนไม่ได้ อำเภอ หรือจังหวัด หรือกรมทาง หรือกรมธนารักษ์ หรือหน่วยราชการไหนจะหัวเสเอาไปให้ชาวบ้านเช่า สัญญาเช่าไม่มีผล นอกเหนือจาก นางรื่นเริง แล้ว ใครๆ รวมทั้งท่านผู้อ่าน ซึ่งถือว่าเป็นพลเมือง ฟ้องได้ทั้งนั้น
อ้าว ! จริงๆ นะเออ เพราะทางหลวงถือว่าเป็นสาธารณสมบัติที่พลเมืองมีสิทธิใช้ร่วมกันนั่นไง
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4840/2552
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ลึกอุปกรณ์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83019