ชีวิตคือความรื่นรมย์
ศิลปินแห่งชาตินาม ประคิณ ชุมสาย ฯ
ใครเคยท่องกลอนที่ชื่อ "ขอบฟ้าขลิบทอง" ของกวีที่เขียนกลอนบทนี้มากว่า 50 ปีแล้วอย่างพวกเราได้บ้าง
มิ่งมิตร...เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงส์ร่อน ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง ที่จะมุ่งจุดหมายปรายทะนง ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ
เมื่อปี 2499 ข้าพเจ้าเข้าเป็นน้องใหม่ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้รู้สึกตื่นเต้นมากที่ทราบว่าเราจะมีโอกาสได้พบกวีที่เราชื่นชอบจากการอ่านพบนามปากกา อุชเชนี (ซึ่งกำลังมีบทกวีลงพิมพ์บ่อยๆ ในหน้านิตยสารชั้นนำของยุค สลับกับนามปากกาอื่นๆ ที่ผู้เขียนชื่นชมในยุคนั้น เช่น นายผี ทวีปวร เปลื้อง วรรณศรี นล. นิรันดร ฯลฯ) กับคอลัมนิสต์ที่คนอ่านติดตามมากที่สุด คอลัมน์หนึ่งในยุคนั้น คือ นิด นรารักษ์ แห่งคอลัมน์โลกและชีวิต) ซึ่งรุ่นพี่บอกข้าพเจ้าว่าท่าน คือ อาจารย์ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งสังกัดแผนกวิชาภาษาฝรั่งเศส
ความที่ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษา (ซึ่งเราเรียกกันเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ด้วยภาษาพูดกันว่า ม. 7-ม. 8) ซึ่งเป็นชั้นเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยโดยตรง หากแต่เชื่อตามคำแนะนำผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ซึ่งจบอักษรศาสตร์บัณฑิตจากจุฬา ฯ ท่านได้แนะนำให้ข้าพเจ้าผู้บ้าที่อยากเป็นนักหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มีผู้ส่งเสียให้เรียนและมีที่พักอาศัยในกรุงเทพ ฯ ให้ไปสมัครชิงทุนจังหวัด เพื่อไปเรียนในโรงเรียนฝึกหัดครูเสียก่อน เพราะนอกจากจะมีทุนเรียน และมีที่พักอาศัยเรียนจนจบแล้ว เมื่อเรียนจบ ยังมีงานราชการรอรับเข้าเป็นครูได้เลย ดังนั้นพวกเราที่จบจากฝึกหัดครูแล้ว ได้รับเลือกให้เข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ หรือคณะวิทยาศาสตร์ที่จุฬา ฯ (หรือพรรคพวกที่ได้รับเลือกเรียนต่อที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาที่ประสานมิตร ยกเว้นข้าพเจ้ากับเพื่อนรัก ชื่อ สุทธิภิบาล แทนที่ไม่ได้รับเลือก แต่เราตะเกียกตะกายไปสอบเข้าเองได้ ทั้งที่ประสานมิตร ฯ และที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬา ฯ แล้วเราสองคนก็ยอมเสียสละค่าบำรุงที่ประสานมิตร ฯ เพื่อเลือกเสียค่าเรียนเท่ากันอีกที่จุฬา ฯ แทน) การที่เราไม่ได้เรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสมา จึงไม่มีวาสนาได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ประคิณโดยตรง ได้แต่แอบเป็นลูกศิษย์อ่านกลอนกับคอลัมน์ที่อาจารย์เขียน
แต่พวกเราที่บ้ากลอน ก็ใจหายเป็นอันมาก เหมือนคนอกหัก เมื่อในปีต่อมา อาจารย์ก็ลาออกจากราชการที่จุฬา ฯ ไปทำงานที่บริษัทเอกชนนานาขาติ คือ ไปเป็นกำลังช่วยกันตั้งฝ่ายประชาสัมพันธ์ขึ้นที่บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนรุ่นแรก ที่ตั้งหน่วยงานเช่นนั้นขึ้นในเมืองไทย โดยที่สมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้วบริษัทเอกชนมีแต่ฝ่ายโฆษณาเป็นสำคัญ แทบจะไม่มีใครพูดถึงการประชาสัมพันธ์ อย่างรู้จักความหมายและกิจกรรมอันแท้จริงว่า คือ อย่างไร
แต่การลาออกจากราชการที่มีระเบียบเคร่งครัด โดยเฉพาะในคณะวิชาและมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของประเทศ ไม่ได้กีดกันความเป็นลูกศิษย์อาจารย์ของท่านจากพวกเรา พวกเรายังคงแวะเวียนไปรบกวนอาจารย์เสมอๆ โดยเฉพาะเวลาที่คณะ หรือมหาวิทยาลัยมีการออกหนังสือที่ระลึก หรืออนุสรณ์ ไม่ว่าจะเป็นงานรับน้องใหม่ การกีฬา การบันเทิง เช่น งานละครประจำปีของคณะ หรือมหาวิทยาลัย งานกีฬากลางแจ้ง หนังสือที่ระลึกวันสำคัญของคณะ หรือมหาวิทยาลัยอย่างวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เราเรียกว่า วันปิยมหาราชานุสรณ์ ที่เราจะมอบหมายให้กรรมการสโมสรตำแหน่ง "สาราณียกร" มีหน้าที่ออกหนังสือประจำปี เพื่อแจกแก่คณาจารย์ นิสิต ตลอดจนนิสิตเก่า และบุคลากรสำคัญเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย เราก็จะไม่เว้นที่แวะเวียนไปขอความอุปการะด้านโฆษณาจากบริษัท ซึ่งอาจารย์ให้ความอนุเคราะห์แก่เราเสมอมา มิได้เว้น โดยเฉพาะตอนที่ผู้เขียนทำหน้าที่สาราณียกร ทั้งของคณะ ฯ (ปี 2500)และของมหาวิทยาลัย (สาราณียกรของสโมสรนิสิต หรือ สจม. เมื่อปี 2501 ที่ผู้เขียนอยู่ชั้นปีที่ 3)
ขอข้ามไปเล่าว่า เมื่อข้าพเจ้าจบจากคณะนั้นแล้ว ก่อนกลับไปสอนหนังสืออยู่โรงเรียนเก่าที่ชายแดน ผู้เขียนได้ไปเรียนกราบลาอาจารย์ จำได้ว่าผู้เขียนเรียนอาจารย์ ว่าอยากทำงานประชาสัมพันธ์อย่างอาจารย์บ้าง ทั้งๆ ที่สมัยโน้น ไม่เคยรู้ซึ้งเลยว่า ต้องมีกิจกรรมอะไรบ้าง
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ผู้เขียนไปสอนหนังสืออยู่ที่นครพนมเกือบ 10 ปี อาจารย์ฝากเพื่อนรักของผู้เขียน (วินัย ภู่ระหงษ์ และมะเนาะ ยูเด็น) ให้ไปถามว่า "คุณประยอมเขายังอยากทำงานประชาสัมพันธ์อยู่ไหม"
นั่นคือที่มาของการที่ผู้เขียนโชคดี ได้กลายเป็นลูกศิษย์จริงๆ ของอาจารย์ในกาลต่อมา คือ ลูกศิษย์เรียนงานประชาสัมพันธ์ โดยเป็นพนักงานในความดูแลของอาจารย์ อยู่กับอาจารย์ร่วม 10 ปี (จนอาจารย์เกษียณไปก่อน สมัยนั้น เชลล์ ให้ผู้หญิงเกษียณ 50 แต่อาจารย์ได้รับการต่อสัญญาอีก 2-3 ปี ด้วยความเสียดายประสบการณ์ อยากให้อาจารย์ถ่ายทอดวิทยาการวิชาความรู้ต่อไปอีก) โดยเฉพาะความคิดอ่าน การปฏิบัติตนต่อผู้อื่น รวมทั้งการพยายามถ่ายทอดงานให้น้องๆ ที่จะสืบสานงานต่อเรา แต่สารภาพได้โดยไม่อายเลยว่า ทำได้ไม่ถึงเสี้ยวที่อาจารย์เคยให้ตนมา แต่การที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทเสมือนลูกชายคนหนึ่ง ตั้งแต่อยู่ในบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย รวม 20 ปี จนเกษียณเมื่ออายุ 55 ปี ในปี 2533 แล้วได้ใช้วิชาการประชาสัมพันธ์ ไปร่วมในการก่อตั้งหน่วยงานประชาสัมพันธ์ให้บริษัทเทเลคอมเอเซีย ฯ (หรือ ทรู ในปัจจุบัน) ครอบครัวเราจึงอนุนุญาตให้ลูกๆ เรียกอาจารย์ว่า คุณย่า
นี่คือตอนเกริ่นที่จะกล่าวถึงศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ที่ชื่อ ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยาหรือ กวีนาม อุชเชนีและคอลัมนิสต์นาม นิด นรารักษ์
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82855