มาตรวัดตลาดรถ
เฮฮาปีใหม่
[table] เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ เดือน มกราคม ปี 54 กับ 53
ตลาดโดยรวม, เพิ่ม 38.0 %
รถยนต์นั่ง, เพิ่ม 51.7 %
กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ, เพิ่ม 31.4 %
กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ, เพิ่ม 17.4 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV), เพิ่ม 13.3 %
รถอเนกประสงค์ (MPV), เพิ่ม 6.8 %
อื่นๆ, เพิ่ม 41.0 % [/table]
รับปีใหม่กันเรียบร้อย สำหรับยอดการขายเดือนมกราคม ที่โตขึ้นมาถึง 38.0 % ขายกันได้ 68,398 คันต้อนรับปีกระต่ายทอง ให้นักการตลาดได้ยิ้มแย้มแจ่มใส
แต่สถานการณ์ทั่วโลก ก็เปรียบเสมือนโดมิโน ที่มีการประท้วงลุกลามในหลากหลายภูมิภาค รวมทั้งการจลาจลที่กระเทือนถึงบ้านเราเล็กน้อย เพราะมีแรงงานชาวไทยไปอยู่ที่นั่นพอควรทีเดียว ภาครัฐก็พยายามหาทางช่วยเหลืออยู่
แต่ผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงไม่มี เพราะเราแทบไม่มีธุรกรรมการเงินและการค้าด้วยเลย แต่คงมีผลกระทบทางอ้อม เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีบ่อน้ำมันจำนวนมาก เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คงกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ที่ต้องพึ่งพาน้ำมัน
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ประเทศในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง นับเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อโลก เพราะมีสัดส่วนการผลิตน้ำมันรวมกันราว 36 % ของทั้งโลก และมีปริมาณน้ำมันสำรองที่มีการยืนยันคิดเป็น 61 % ในปี 2552
ความกังวลต่อสถานการณ์ในหลายประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งทะยาน โดยล่าสุด ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า ที่ลอนดอน แตะระดับ 108.18 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับจากเดือนกันยายน 2551
แต่ในบ้านเรา ภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ดี ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะราคายางพารา ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อของเกษตรกร ทำให้ยอดการขายทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในย่านที่มีการปลูกยางพารา ขายดิบขายดีไปตามๆ กัน
การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ และกิจกรรมส่งเสริมการขายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27 ช่วงปลายปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดจองสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการจัดงานมา ยอดจองของรถทุกค่าย ทำได้ 33,058 คัน
แต่ทั้งนี้ ก็ต้องคอยดูว่า การใช้นโยบายทางการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อจะกระทบกระเทือนกับสภาพตลาดโดยรวมขนาดไหน แต่ที่บรรดาค่ายรถยนต์ ยังเชื่อมั่นกับตลาดรถยนต์รวมในปี 2554 นี้จะขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตประมาณ 4-5 % สอดคล้องกับระดับดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ GDP ซึ่งจะทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศมีประมาณ 820,000 คัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก การขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ การขยายตัวของการลงทุนทางธุรกิจ รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของหลายค่าย ที่กระตุ้นให้ตลาดมีความคึกคักยิ่งขึ้น
เมื่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ขณะที่ภาครัฐ ก็เตรียมตัวลงสนามเลือกตั้งกันในไม่ช้านี้ แต่ฝ่ายราชการประจำ ก็ยังคงต้องทำงานกันต่อเนื่อง การขยายตัวประชากรและการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดำเนินอยู่ตลอดเวลา ประเทศไทยจึงมีอัตราการเพิ่มของปริมาณการใช้ไฟฟ้า ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตในปี 2537 ประมาณ 13,000 เมกะวัตต์ จากสถิติในปี 2544 ที่ผ่านมา ประเทศไทยผลิตพลังงานไฟฟ้ารวม 103,165 ล้านหน่วย จากแหล่งผลิตแกสธรรมชาติ 68.2 % น้ำมันเตา 2.9 % น้ำมันดีเซล 0.2 % ถ่านหินลิกไนท์ 16.8 % ถ่านหินนำเข้า 2.4 % พลังน้ำร้อยละ 6.1 % ซื้อจากลาว ร้อยละ 2.8 % และพลังงานหมุนเวียนอื่น 0.5 %
และตามแผนงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ประเทศไทยเราจะได้ใช้โรงไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ ในปี 2573 หรืออีกราว 20 ปีข้างหน้า เพราะในอนาคตอีก 10-12 ปีข้างหน้า พลังงานพื้นฐาน ซึ่งได้แก่ น้ำมัน แกสธรรมชาติ พลังน้ำ จะหาได้ยากขึ้น ในขณะเดียวกันความต้องการใช้พลังงานกลับทวีเพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาพลังงานรูปแบบอื่นในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยสิ่งที่ต้องการพิจารณาเป็นพิเศษ คือ เป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดไม่มีมลพิษ
ก็เก็บเอามาฝากกันก่อนว่า ไม่ว่าคุณจะคัดค้านอย่างไร โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาแน่ กลับมาเรื่องตัวเลขของเราก่อน ยอดการจำหน่ายประจำเดือนมกราคม ทั้งตลาด ขายได้ 68,398 คัน เพิ่มขึ้น 38.0 % ตำแหน่งแชมพ์ โตโยตา ขาย 26,777 คัน เพิ่มขึ้น 32.1 % ส่วนแบ่งตลาด 39.1 %, อันดับสอง อีซูซุ ขาย 11,612 คัน เพิ่ม 14.2 % ส่วนแบ่ง 17.0 %, อันดับสาม ฮอนดา ขาย 9,772 คัน เพิ่มขึ้น 26.9 % ส่วนแบ่ง 14.3 %, อันดับสี่ นิสสัน ขาย 4,528 คัน เพิ่มขึ้น 69.0 % ส่วนแบ่ง 6.6 %, อันดับห้า มิตซูบิชิ ขาย 4,493 คัน เพิ่มเยอะกว่าเพื่อน 100.1 % ส่วนแบ่ง 6.6 %
แยกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง ทั้งตลาดขายได้ 29,977 คัน เพิ่มขึ้น 51.7 % โดยมีแชมพ์ตลอดกาล โตโยตา ขายมากสุด 11,975 คัน เพิ่มขึ้น 43.3 % ส่วนแบ่ง 39.9 %, ที่สอง ฮอนดา ขาย 8,891 คัน เพิ่ม 30.1 % ส่วนแบ่ง 29.7 %, ที่สาม นิสสัน ขาย 2,456 คัน เพิ่มเยอะ 155.3 % ส่วนแบ่ง 8.2 %, ที่สี่ มาซดา ขาย 2,167 คัน เพิ่มขึ้น 36.9 % ส่วนแบ่ง 7.2 % และที่ห้า ฟอร์ด ติดโผด้วยจำนวน 1,353 คัน เพิ่มจนน่าตกใจ 1,164.5 % เพราะปีนี้มี ฟิเอสตา ปีก่อนขายแค่ 100 กว่าคันเอง ส่วนแบ่ง 4.5 %
รายการผู้เสียภาษียอดเยี่ยม โพร์เช ขาย 9 คัน, แจกวาร์ ขาย 4 คัน, โลทัส 2 คัน, มิตซูโอกะ ลัมโบร์กินี แฟร์รารี และ มาเซราตี ขายเจ้าละ 1 คัน
เพียงแค่เดือนเดียว ตลาดก็โตไม่หยุด ฉุดไม่อยู่แล้ว เชื่อมั่นได้ว่า ปีนี้สภาพตลาดโดยรวม คงไม่ทำให้นักการตลาดรถยนต์ไม่ว่าค่ายไหน ต้องระกำช้ำใจกันแน่ เว้นแต่จะมีเหตุการณ์แปลกประหลาด พิสดาร พันลึก มาแทรกกลาง
นอกเหนือจากนั้นเชื่อถือได้แน่นอน
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82833