ประกันภัย
ประกันไทยเข้มแข็ง ปี 2554
ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ประกาศ แผนพัฒนาธุรกิจประกันภัยระดับชาติ ประกันภัยไทยเข้มเข็ง เป็นแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 2 ระยะ 5 ปี ที่เริ่มใช้ในปี 2553-2557 ซึ่ง คปภ.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ร่วมกับภาคเอกชน จัดทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัย สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบประกันภัยไทยพัฒนาให้มีคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล
ปี 2553 ก็เลยเป็นอีกปีในประวัติศาสตร์ที่ธุรกิจประกันภัย ต้องปรับตัวกันอย่างยกใหญ่ ภายใต้สถานการณ์ทั้ง ปัญหาทางด้านการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และมาตรการภาครัฐที่เข้มข้น มีหลายบริษัทประกันภัยต้องถูกลงโทษ มีตั้งแต่ถูกปรับ ถูกดำเนินคดีทางแพ่ง-อาญา ถูกสั่งให้หยุดดำเนินธุรกิจรับประกันชั่วคราว และถูกสั่งถอนใบอนุญาตถาวร ถ้าติดตามบทความมาตลอด ก็จะเห็นชื่อหลายบริษัทซ้ำซากวนเวียนอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาและทุกฝ่ายต้องยื่นมือเข้าไปแก้ไข บริษัทประกันภัยที่ถูกคำพิพากษาสั่งให้ล้มละลายอย่างเป็นทางการ หลังพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และชำระสะสางบัญชีกันมายาวนานหลายปี คือ บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ตอนนี้ก็คงจะขอส่วนแบ่งส่วนบุญกันแต่เพียงซาก หรือวิญญาณ เท่านั้น
บริษัทประกันภัยที่ถูกรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สั่งให้ถอนใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจประกันภัยอย่างถาวร คือ บริษัท เอ.พี.เอฟ.อินเตอร์เนชันแนล อินชัวรันส์ จำกัด ซึ่งทาง คปภ. ขอแจ้งให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยของบริษัท หรือเจ้าหนี้ที่เคยร้องเรียนกับสำนักงาน คปภ. ที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้กับผู้ชำระบัญชี ให้รีบนำเอกสารต้นฉบับพร้อมทั้งสำเนาเอกสาร ประกอบด้วย กรมธรรม์ประกันภัย บัตรประจำตัวประชาชน ใบเคลม ใบนัดชำระหนี้ เอกสารอื่นใดที่แสดงถึงมูลหนี้ หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีเจ้าหนี้เป็นนิติบุคคล) หรือหนังสือมอบอำนาจพร้อมบัตรประชาชน ผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีไม่สามารถมายื่นได้ด้วยตนเอง) มายื่นคำขอรับชำระหนี้กับผู้ชำระบัญชี ภายในวันที่ 3 มีนาคม 2554 ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียประโยชน์แก่ประชาชนและผู้เอาประกันภัย หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186
บริษัทที่ถูกสั่งให้หยุดพักการรับประกันและขยายงานธุรกิจ มีหลายบริษัทถูกสั่งให้หยุดเป็นพักๆ แก้ปัญหาได้ก็มาเป็นรับประกันใหม่ พอมีปัญหาอีก ก็สั่งพักอีก หรือไม่ก็อยู่ในความควบคุมอย่างใกล้ชิด ได้แก่ บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด บริษัท กมลประกันภัย จำกัด บริษัท ฟินิกซ์ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท วิคเตอรี่ประกันภัย จำกัด บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด บริษัท ส่งเสริมประกันภัย จำกัด บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด และยังมีอีกบางบริษัทกำลังอยู่ในข่าย ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับการดำรงเงินกองทุนไม่เป็นไปตามกฎหมาย เรียกว่า ไม่มีเงินจ่าย ไม่มีสภาพคล่อง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย สำหรับบริษัทต่างๆ ที่ถูกลงโทษปรับฐานทำผิด พรบ. ผิดระเบียบคำสั่ง มีมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการประวิงการจ่าย หรือใช้เงินผิดประเภท ส่วนตัวแทน นายหน้าก็ถูกลงโทษ ทั้งปรับ ทั้งดำเนินคดีอาญา ทั้งถูกสั่งถอนใบอนุญาต ก็หลายราย ทั้งหมด ก็เป็นผลมาจากมาตรการที่เข้มข้นของภาครัฐ ดำเนินการผ่าน คปภ.
และในปีนี้ ปี 2554 จะยิ่งเข้มข้นข้นอีก คปภ. แจงว่ามาตรการหลายประการที่เคยแจ้ง และได้ผ่อนผันไประยะหนึ่ง ถึงเวลาบังคับใช้แล้ว โดยเฉพาะการดำรงเงินกองทุนตามกฎหมาย กองทุนสำรองการบริหารความเสี่ยง ทำให้หลายบริษัทที่ไม่เข้มแข็งพอ ต้องวิ่งหาพันธมิตรทางธุรกิจ หาผู้ร่วมทุน หาทางควบรวม หรือไม่ก็ขายให้กลุ่มทุนใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มทุนจากต่างประเทศ
ปีนี้ คปภ. ประกาศพลิกโฉมประกันภัย สอดรับแผนพัฒนาประกันภัยฉบับที่ 2 เพื่อก้าวสู่ความเป็นมาตรฐานสากล โดย จันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ได้มีการจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 2 (พศ. 2553-พศ. 2557) สำนักงาน คปภ. ได้เร่งดำเนินการตามแผน ฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คือ การพัฒนาระบบประกันภัยของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล โดยในปี 2554 ได้เน้นการดำเนินงานตาม 4 มาตรการ หลักที่สำคัญ คือ
มาตรการที่ 1 การสร้างความเชื่อมั่น และการเข้าถึงระบบประกันภัยของประชาชน
- โดยการเผยแพร่ความรู้ด้านการประกันภัยแก่ประชาชน คนกลางประกันภัย ทั้งในรูปแบบการจัดงานสัปดาห์ประกันภัย ในระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2554 ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพคท์เมืองทองธานี และการจัดงานการประกันภัยสู่ประชาชน 9 แห่ง ในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นต้น
- พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและช่องทางการจำหน่ายให้สอดคล้องกับความต้องการ และความเสี่ยงของประชาชน เช่น การขายประกันภัยรายย่อยผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น
มาตรการที่ 2 เสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย
- การตรวจสอบและกำกับตามระดับความเสี่ยงของแต่ละบริษัท และเพิ่มมาตรการป้องกันความเสียหายอย่างทันท่วงที ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทประกันภัยมีเงินกองทุนที่เพียงพอ สามารถรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงจะเริ่มมีผลบังคับใช้เดือนกันยายน 2554
มาตรการที่ 3 พัฒนากฎหมายและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร โดยในปี 2554 จะมีการพัฒนากฎหมายแม่บท คุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร จัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยทางคดี และการพัฒนากระบวนการประนอมข้อพิพาท ให้รวดเร็วเป็นธรรมแก่ประชาชน ผู้เอาประกันภัย เป็นต้น
มาตรการที่ 4 ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย การพัฒนาฐานข้อมูลกลางของธุรกิจประกันภัยครบวงจร (I - SITE)
- การจัดตั้งสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง OIC ADVANCE INSURANCE INSTITUTE (OICAII) เพื่อเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านประกันภัยระดับสูงของประเทศ ซึ่งจะมีการกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาความรู้และจรรยาบรรณของบุคลากรประกันภัยเป็นครั้งแรก เช่น หลักสูตรที่ปรึกษาด้านการประกันภัย เป็นต้น
ซึ่งจากการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ที่ได้ดำเนินการแล้วในปี 2553 และแผนงานที่ได้ดำเนินงานในปี 54 รวมถึงมาตรการที่จะดำเนินการในปีต่อไป จะช่วยผลักดันให้สัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 6% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2557
หนึ่งในนโยบายการดำเนินงานตามแผนพัฒนาประกันภัยฉบับที่ 2 (2553-2557) ในมิติการส่งเสริมโครงสร้างด้านพื้นฐานการประกันภัย คือ การยกระดับความรู้ของบุคลากรประกันภัย โดยทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้จัดตั้ง สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง (OICALL: OIC ADVANCE INSURANCE INSTITUTE) ขึ้น พร้อมทั้งเริ่มจัดหลักสูตรอบรมต่างๆ โดยเริ่มจากหลักสูตรอบรมสำหรับคนกลางประกันภัย อย่าง ตัวแทน และนายหน้าประกันภัย เพื่อให้เป็น ที่ปรึกษาประกันภัย หรือ INSURANCE ADVISOR (IA) และ นักวางแผนประกันภัย โดยเป้าหมายตามแผนพัฒนาฯ ดังกล่าว ในปี 2557 จะต้องมี IA และ IP ให้ได้ 20 % ของจำนวนตัวแทนทั้งหมด
สุดท้าย คือ มาตรการเร่งด่วน คปภ. ประกาศเตือนบริษัทประกันภัยทุกบริษัท ต้องจัดส่งนโยบายการบริหารความเสี่ยงและสรุปแผนธุรกิจ 3 ปี ภายใน 31 มีนาคม นี้
ศุภกิจ สัตยารัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการกำกับ สำนักงาน คปภ. ได้ออกหนังสือในนาม คปภ. เตือนไปยังกรรมการผู้จัดการและผู้จัดการสาขา บริษัทประกันชีวิต และ บริษัทประกันวินาศภัย ให้นำส่งนโยบายการบริหารความเสี่ยงและสรุปแผนธุรกิจ 3 ปี ตามพรบ. ประกันชีวิต และ พรบ. ประกันวินาศภัย ที่ให้จัดส่งภายใน 3 เดือนนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน และ 1 เดือนนับจากวันที่ผู้บริหารของบริษัทอนุมัติการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบริหารความเสี่ยง หรือสรุปแผนดังกล่าวข้างต้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะต้องนำส่งแผนภายในวันที่ 31 มีค. 2554
ขณะที่ บริษัทประกันวินาศภัยจะต้องส่งรายงานการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ประจำปี 2553 เพิ่มเติม ซึ่งจะต้องเป็นรายงานที่ได้รับการรับรองโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยต่อ คปภ. ภายใน 5 เดือน หรือภายในวันที่ 31 พค. 2554
ทั้งนี้ หากบริษัทไม่นำส่งนโยบายการบริหารความเสี่ยงและสรุปแผนธุรกิจ 3 ปี จะถูกลงโทษด้วยการสั่งปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และถ้ากระทำความผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกวันละ 2 หมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน กรณีบริษัทประกันวินาศภัยหากไม่ส่งรายงานการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จะต้องถูกสั่งปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 5,000 บาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน
อ่านกันมาถึงตรงนี้ ก็อยากพูดในฐานะประชาชนผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และงานบริการของบริษัทประกันภัย คงเบาใจขึ้นเยอะ หากมาตรการต่างๆ เป็นผลตามที่ตั้งไว้ ก็คงต้องติดตามและเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่าย ที่ร่วมกันพัฒนากิจการประกันภัยไทยให้แข็งแรงมีมาตรฐานสากลสู้กับต่างประเทศได้นะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82823