ชีวิตคือความรื่นรมย์
ข้างหลังภาพ เธอะมิวสิคัล
เมื่อเริ่มวัยหนุ่ม ข้าพเจ้าสำลักการอ่านเอามากๆ นอกจากจะท่องจำบทกลอนที่ประทับใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทอาขยานต่างๆ แล้ว ยังกระหายที่จะจดถ้อยคำสำนวนคมๆ ที่ลึกซึ้งตรึงใจของ ผู้รู้-นักปราชญ์-นักเขียนนักประพันธ์ ฯลฯ ลงในสมุดบันทึกตามที่ครูสอน จนกระทั่งเพื่อน (ขี้เกียจ และขี้โกงบางคน) ขอยืมไปอ่านแล้วอ้างว่าหาย หาไม่เจอ ต้องจดใหม่ และกลายเป็นคนหวงสมุดบันทึกคำคม แล้วเบื่อที่จะจดอีกต่อไป
กระนั้นก็ดี ยังมีบางสำนวนที่เคยซึ้งใจ และตรึงในความทรงจำ เช่น
เมื่อคนขอหน้าด้านขอ ใครเล่าจะหน้าด้านไม่ให้ (จากเรื่อง ผู้ดี ของ ดอกไม้สด)
เสด็จให้มาทูลถามเสด็จว่าจะเสด็จหรือไม่เสด็จ ถ้าเสด็จจะเสด็จ เสด็จจะเสด็จด้วย (จาก สี่แผ่นดิน ของ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)
ความรักมิใช่การเป็นหนี้ แต่ความรักเป็นดนตรีของชีวิต ซึ่งอาจบรรเลงได้อย่างไพเราะ อย่างเศร้าและอย่างเคียดแค้นเสียดแทงใจสำหรับบางคน...มันอาจเป็นเพลงสั้นๆ แต่สำหรับบางคนมันอาจเป็นเพลงที่ยืดยาวไปตลอดชีวิต (จาก ชัยชนะของคนแพ้ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์)
ถ้าฉันเป็นนก ฉันคงจะบินติดตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าเมื่อบินไปในระหว่างทาง ตัวฉันต้องลูกธนู ฉันก็จะอุตส่าห์พยุงกายบินไปตกตรงหน้าตักเธอ และเมื่อยอดรักได้เช็ดเลือด และน้ำตาให้ฉันสักครั้ง ฉันก็จะหลับตาตายด้วยความเป็นสุข (จากเรื่อง สงครามชีวิต ของ ศรีบูรพา ข้อความนี้แหละกลายเป็นเพลงยอดนิยม อาลัยรักที่ครูชาลี อินทรวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ นำมาดัดแปลงเป็นเพลง ตามคำแนะนำของ สุวัฒน์ วรดิลก ศิลปินแห่งชาติเพื่อนรักของท่าน ที่เกิดในเดือนกรกฎาคม 2466 เหมือนกัน ห่างกันไม่กี่วัน)
หรืออีกสำนวนที่ตรึงใจยิ่ง ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก (จากเรื่อง ข้างหลังภาพ ของ ศรีบูรพา)
โดยเฉพาะเรื่องหลังนี้ ศรีบูรพา หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักคิด-นักเขียน-นักหนังสือพิมพ์-นักมนุษยธรรม ฯลฯ ซึ่งเกิดเมื่อ วันที่ 31 มีนาคม 2448 และได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลกในวาระ 100 ปีชาตกาล ท่านได้ประพันธ์เรื่องนี้ไว้ เมื่อปี 2479 แล้วก็ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำมาแล้วถึง 39 ครั้ง ทำให้คนอ่านนับจำนวนไม่ถ้วน ได้รับรสวรรณศิลป์จากวรรณกรรมเรื่องนี้มาแสนนาน
นอกจากรสวรรณศิลป์ที่จับใจแล้ว ภาพที่ปรากฏในสื่อภาพยนตร์ไทย จากการตีความของเปี๊ยก โปสเตอร์ ให้บทชีวิต มรว. กีรติ ให้มีชีวา คือ นาตยา เบญจศิริวรรณ (ในนามนักแสดงชื่อ นาถยา แดงบุหงา) กับนักร้องนักแสดงนาม อำพล ลำพูน (อำพล ลำกูน) ในภาพฝันนาม นพพร เมื่อ ปี 2528
กับเมื่อปี 2544 นักเขียนนามปากกา ธม ธาตรี หรือ เชิด ทรงศรี นักสร้างภาพยนตร์ผู้มากฝีมือก็ปลุกชีวิตมีชีวาผ่านหน้าตา และบทบาทของ คารา พลสิทธิ์ นางแบบสาวสวยกับนักแสดงหนุ่มหน้าตา และฝีมือโดดเด่นโด่งดัง เคน ธีรเดช วงศ์พัวพัน
แม้กระทั่งในภาพผ่านเวทีละครโทรทัศน์ครั้งแรก ก็ปรากฏจากบทบาทของ อรัญญา ( นามวงษ์) ศิระฉายา) กับนักแสดงหนุ่มดาวค้างฟ้า ที่ตรึงใจสาวเสมอ นิรุตติ์ ศิริจรรยา มาแล้วเช่นกัน ทุกครั้งให้ความประทับใจไม่รู้ลืม
ครั้นได้ข่าวว่า ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้ได้ยืนยันฝีมือผ่านการศึกษา ด้านการผลิตศิลปะ ด้านกำกับ มาหลายเรื่องให้ตรึงใจ เช่น บัลลังก์เมฆ ( 2 ครั้ง โดยนักแสดงเอกต่างชุด) จะนำเสนอ ข้างหลังภาพ ในแบบละครที่เรียก เธอะ มิวสิคัล เป็นครั้งแรก ในฐานะคนหนึ่งที่ฝังใจในวรรณกรรมเอกเรื่องนี้มานาน ก็เกิดความปรารถนาจะได้ชมอย่างแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แล้วโชคก็เข้าข้างอย่างเหนือฝัน เมื่อ สุรพันธุ์ และวาณี สายประดิษฐ์ ทายาทของท่านผู้ประพันธ์ กรุณามอบบัตรรอบพิเศษสำหรับแขกเกียรติยศทั่วไป (ทราบว่ามี ฯพณฯ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษด้วย) ดารา และสื่อมวลชน เมื่อ 21 สิงหาคม 2551 ให้ ผู้เขียนก็อดที่จะต้องนำมาเล่าไม่ได้ แม้ว่าละครลาโรงไปนานแล้วก็ตาม แต่หากมีคนเรียกร้องมากๆ อาจกลับมาอีกก็เป็นได้
คำว่า เธอะ มิวสิคัล นี้ ยากที่จะเรียกเป็นศัพท์ภาษาไทย ซึ่งเมื่อมีผู้ใช้ว่า ละครเพลง ฟังดูก็เข้าท่า (เดิมเรามีละครรำ ที่เรียกละครในและละครนอก) ละครพูด ที่รัชกาลที่ 6 ทรงนำจากตะวันตก ละครร้อง ละครพันทาง เพราะการเดินเรื่องของละครแบบ เธอะ มิวสิคัล นี้ มีการสนทนาผ่านคำร้อง และเพลง ซึ่งผู้แสดงต่างก็สื่อให้ได้ทั้งการแสดงบทบาท การเจรจา การร้อง (ให้ได้ดีจริงๆ) การเต้น(แดนศ์สมัยใหม่ ซึ่งต้องผ่านการเคียวกรำอย่างแม่นยำ ไม่ผิดคิว ทั้งการร้อง และการแสดงบท) เพราะเป็นการประสมกลมกลืนได้อย่างงดงามสุดพรรณนา
ผู้เขียนไม่มีความรู้ดีด้านวิจารณ์ศิลปะการแสดง แต่ละครทั้ง 2 องก์ (องก์แรก 18 ฉาก องก์ 2 มี 11 ฉาก) ที่เสนอ ณ โรงละครแห่งใหม่ รัชดาลัย เธียเตอร์ ถนนรัชดาภิเษก ก็ให้ความซาบซึ้งในความพยายาม ทั้งของผู้ประพันธ์ดนตรี/กำกับดนตรี และเรียบเรียงเสียงประสาน/ผู้ประพันธ์คำร้อง ผู้ประพันธ์บทละครหลายคน ที่พยายามรักษารสวรรณศิลป์เก่า และแปรความออกมาเป็นบทละครเพลง ควรแก่การยกย่องยิ่ง รวมทั้งผู้กำกับลีลา ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ตลอดจนผู้กำกับแสง/เสียง ฯลฯ
ยิ่งการออกแบบฉาก การเปลี่ยนฉากรวดเร็วเป็นธรรมชาติ การเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย (ซึ่งหลายครั้งเปลี่ยนให้เห็นความเรียบร้อย/รวดเร็วและแนบเนียนบนเวที ทั้งที่นักแสดงกำลังแสดงบทไปเรื่อยๆ ด้วยฝีมือผู้จัดละครโรงนี้ ไม่ว่าฉากเทศกาลในญี่ปุ่น ฉากบนรถไฟที่ค่อยๆ เปลี่ยนอย่างเหมือนนั่งไปด้วยโดยไม่รู้สึก ภาพเรือพายสวนกันไปมา เหมือนนั่งในทะเลสาบจริงๆ ฉากการอำลาที่ท่าเรือ ฉากที่สวนบ้านเจ้าคุณ (ในกรุงเทพ ฯ) ฉากที่บ้าน มรว. กีรติ ตอนป่วย ฯลฯ
ที่ประทับใจทุกๆ คน คือ ฉากน้ำตกมิตาเกะที่ปล่อยน้ำไหลลงมาจริงๆ แล้ว สุธาสินี (แพท) พุทธินันทน์ กับ สุกฤษฏิ์ (บี้) วิเศษแก้ว ซึ่งนอกจากแสดงบทบาทรักต้องห้ามที่แสดงไม่น่าเกลียด และร้องเพลงได้ดียิ่งแล้ว เมื่อเต้นรำกลางธารน้ำที่ไหลลงมา เห็นนักแสดงทั้ง 2 เตะสายน้ำกระเซ็นเป็นฟองกระจายอย่างได้อารมณ์สูงยิ่งนัก ยังไม่นับการเต้น/การร้องทั้งเดี่ยว และประสานเสียงหมู่ ทีมงานมากมายที่ควรแก่การชื่นชม โดยเฉพาะ ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้กำกับที่ทำให้ทุกอย่างออกมาประทับใจยิ่ง
ที่น่ายกย่อง และน่าชมเชยเป็นอย่างยิ่ง คือ การแสดงความเคารพต่อบทประพันธ์ และต่อผู้ประพันธ์ โดยคงแก่น/แกนของเรื่องไว้อย่างยอดเยี่ยม แม้การทำให้วรรณกรรมมีชีวิตออกมาเป็นภาพจะเป็นการยากอย่างยิ่ง ผิดกับนักสร้างละครโทรทัศน์ปัจจุบัน ที่แก้ไข/ตีความและเปลี่ยนแปลง (ทำลาย)วรรณกรรมจากบทประพันธ์เดิม ที่ปรับแปรเอาตามใจตนจนผู้ประพันธ์ และผู้รักวรรณกรรมเรื่องเดิมนั้นไม่กล้าดู เพราะเกรงจะยั้งใจไม่ได้ อาจทำลายโทรทัศน์โดยยั้งไม่อยู่
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79019