โค้งอันตราย
มาตรฐานใหม่
พาดหัวเรื่องเอาไว้อย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรฐานของรถยนต์อะไรใหม่หรอก แต่อยากจะเล่าถึงการทำงานของส่วนราชการ ที่เดี๋ยวนี้เริ่มมองเห็นการพัฒนา ถึงแม้ภาคเอกชนจะก้าวล้ำหน้ากันไปหลายขั้นก็ตาม แต่ในเมื่อส่วนราชการเริ่มคลานต้วมเตี้ยมตามมา ก็ต้องชมเชยกันบ้าง
แค่เริ่มต้นก็ยังดีน่า
เดี๋ยวนี้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อดูแลการทำงานของข้าราชการในทุกภาคส่วน โดยทุกส่วนราชการ ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และจัดส่งมายัง กพร. รวมทั้งสิ้น 155 หน่วยงาน
งานนี้เพื่อเป็นการทบทวน และปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี ของแต่ละกระทรวง ให้มีความถูกต้องเหมาะสม มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงสอดคล้องกัน ภายในกระทรวง และระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสามารถเชื่อมโยงไปสู่ ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายเชิงนโยบาย ที่กำหนดไว้ในแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พศ. 2551-พศ.2554 ได้ ตามที่สำนักงาน กพร. เสนอ
เรื่องนี้กระผมเองโดนทั้งอบ ทั้งรม เฉพาะเรื่อง เคพีไอ หรือ KEY PERFORMANCE INDICATOR จนแทบจะเป็นวิทยากรได้แล้ว แต่ฟากทางราชการเพิ่งจะตื่นตัว ก็ยังดีกว่าไม่เริ่มอะไรกันเลย
แต่จากการวิเคราะห์ของ กพร. พบว่า แผนของส่วนราชการบางกระทรวง ยังขาดการบูรณาการร่วมกัน
ภายในกระทรวง และกรม โดยเฉพาะการกำหนดเป้าประสงค์ ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมาย ที่ยังขาดความสัมพันธ์เชื่อมโยงภายในซึ่งกันและกัน จึงอาจเป็นเหตุให้ผลการดำเนินงานของกรม ไม่สามารถเชื่อมโยงความสำเร็จขึ้นไปยังระดับกระทรวง และอาจกระทบต่อการบรรลุเป้าหมาย ตามแผนการบริหารราชการแผ่นดินได้
ก็เป็นเรื่องที่ทาง กพร. จะต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป โดยเฉพาะประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดี
นั่นเป็นเรื่องชมเชยเรื่องแรก ที่หากดำเนินการแล้วเสร็จ เราคงได้หยิบเอาประเด็นมาวิเคราะห์นำเสนอกันในโอกาสหน้า
เรื่องที่สอง ก็เรื่องที่ระดับประธาน เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พ เดินทางมาถึงเมืองไทย พร้อมแถลงเรื่องการสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยการขนเงินมา 455 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 15,000 ล้านบาท เพื่องานนี้โดยเฉพาะ แสดงว่าวงการยานยนต์ระดับโลก เริ่มให้ความสนใจกับเมืองไทยเข้าแล้ว
ที่จริง ตลาดที่กำลังเจริญเติบโตย่านเอเชีย ก็มีอยู่หลายตลาด แต่โดยภาพรวมแล้ว ประเทศไทย ยังอยู่ในแถวหน้าของตลาดลักษณะนี้ เพราะเรามีฐานรถกระบะ ที่ใครต่อใครก็มาตั้งโรงงานประกอบกันที่นี่ แล้วส่งไปขายกันในหลายประเทศ
อย่าเพิ่งดีใจไปว่า เรามีความก้าวหน้าทางวิศวกรรมยานยนต์มากมาย จนใครๆ ก็เห็นประเทศเราเนื้อหอม
งานที่ทำก็แค่ เอาชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน ให้เป็นรถ 1 คัน โดยต้องมีโรงงานชิ้นส่วน ที่ต้องผลิตตามวิศวกรรมที่บริษัทแม่กำหนดมา บางอย่างที่ยังทำไม่ได้ อย่างเรื่องเหล็กนานาชนิด ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีทางสร้างโรงเหล็กเพิ่มได้ ก็ต้องสั่งเข้ามาจากเมืองนอก
ที่เขามาทำเครื่องยนต์ในบ้านเรา ก็เพราะโดยภาพรวมแล้ว ความคุ้มค่าต่างๆ มีเปอร์เซนต์สูงกว่าประเทศอื่น รวมทั้งฝีมือช่างแรงงานระดับล่างของเรา ยังไม่ถึงกับเรียกว่าแพงจนเกินไป เมื่อสรุปโดยภาพรวมแล้ว เราก็มีหน้าที่เหมือนเดิม คือ หยิบเอาชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน แค่นั้นเอง
แต่ก็ยังดีที่หนนี้มีการเสริมระบบวิศวกรรมในโรงงานประกอบ เพื่อให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ช่างของเราจะได้รู้จักเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น
ช่างซ่อมเครื่องมือเหล่านี้ ก็จะได้รู้จักกับความทันสมัยของอุปกรณ์การทำงานมากขึ้น
เรียกว่าค่อยเริ่มคลานต้วมเตี้ยมก็ยังดี
แต่ก็ขอบันทึกคำพูดของท่านประธานเอาไว้ ณ ที่นี้สักหน่อย
โรงงานผลิตเครื่องยนต์แห่งใหม่นี้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของ จีเอม มีความยืดหยุ่น และมีกระบวนการผลิตที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่ปฏิบัติงานภายในโรงงานเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการผลิตที่โดดเด่นของศูนย์การผลิตของ จีเอม ทุกแห่ง เราได้นำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของ จีเอม เข้ามา เพื่อให้แน่ใจว่า จีเอม ได้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลที่ดีที่สุด ประหยัดที่สุด สำหรับลูกค้าของเราทุกคน ขณะเดียวกัน การทำงานอย่างหนักในการพัฒนาระบบ ซีเอนจี เอธานอล ที่ทำจาก เซลลูโลส ไบโอดีเซล รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ ทำให้ เจเนอรัล มอเตอร์ส ได้กลายเป็นผู้นำในการผลิตยานยนต์พลังงานทางเลือกอันหลากหลายในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว
เก็บเอามาเป็นเครื่องเตือนใจว่า พลังงานทางเลือกที่เรากำลังมุ่งหน้าไปหา เพื่อมาทดแทนพลังงานจากน้ำมันเบนซิน และดีเซลนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเขามองอนาคตว่าอย่างไร
อย่าลืมว่าพี่เขาบอกว่าเขาใช้เอธานอลที่ทำจากเซลลูโลส ที่มาจากเนื้อไม้ และผ้าฝ้ายนะครับ ไม่ได้บอกว่ามาจากมันสำปะหลัง
ส่วนไบโอดีเซลน่ะ เป็นเรื่องปกติ
แหม น่าจะมีคนจับเอาคำว่า E85 ใส่ไปด้วยสักตัวก็ไม่ได้
โรงงานนี้จะผลิตเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตรเทอร์โบ มากกว่า 100,000 เครื่อง/ปี โดยพัฒนาร่วมกันระหว่าง จีเอม และ วีเอม โมโตรี อิตาลี ที่พี่เขาคุยว่า เขาเป็นเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเครื่องยนต์เทคโนโลยีระดับสูงต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลที่ดีที่สุดในโลก
ก็ต้องคอยดูว่า ในยุโรป มีการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซล ที่ลดค่ากำมะถันจากไอเสีย ที่เรียกกันว่า ดีเซลสะอาด พี่เขาจะยอมเอามาประกอบขายให้กับรถในบ้านเราหรือเปล่า
เดี๋ยวพี่เขาก็ต้องบอกว่า ให้บ้านเรากลั่นน้ำมันดีเซลให้ได้สะอาดมากกว่านี้เสียก่อน
เดิมพันกันเท่าไรก็เอา
เรื่องสุดท้ายที่ขอบันทึกเป็นเกียรติประวัติหนนี้ ก็เป็นเรื่องของกรมทางหลวง ท่านประมูลงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษ หมายเลข 9 หรือถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก ช่วงบางปะอิน-บางพลี ขยายถนนเดิมจาก 4 ช่องจราจร เป็น 8 ช่องจราจร ระยะทางรวมประมาณ 42 กม. มูลค่าก่อสร้าง 6,100 ล้านบาท
ที่ต้องขอบันทึกไว้ เพราะท่านแบ่งงานออกเป็น 9 สัญญา ด้วยระยะทางตั้งแต่ 6.56 กม. 6.435 กม. 7.275 กม. 5.745 กม. 1.630 กม. 2 ช่วง 4.779 กม. 1.276 กม. และ 6 กม.
งานนี้ประมูลกันทางอีเลคทรอนิค หรือ อีออกชัน เรียกว่าใครเคาะกันมาเท่าไร ก็เท่านั้น แล้วค่อยเรียกมาต่อรองราคาเพิ่มเติมทีหลัง
ข่าววงในบอกว่า งานนี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของท่านอธิบดี ก่อนที่ท่านจะเกษียณอายุเดือนตุลาคม นี้
ถนน 8 เลน ระยะทางเพียง 42 กม. แต่ซอยงานถึง 9 สัญญา เรียกว่าแจกกันทุกเจ้า
สนุกดีนะครับ บ้านนี้เมืองนี้
อีกหน่อยเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นมาตรฐานใหม่ของการประมูลงานบ้านเราก็ได้ ใครจะไปรู้
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78928