รู้ไว้ใช่ว่า
ดิ้นไม่หลุด
คดีนี้น่าสนใจในแง่มุมของการดำเนินคดีอย่างยิ่ง ขอยืนยันนั่งยันเลยล่ะ ไม่เชื่อตามไปดูก็แล้วกัน
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ นายเมืองไทย ซึ่งตอนนี้อยากเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอื่นให้รู้แล้วรู้รอด เพราะคนไทยออกมาเถียงกันทุกเรื่อง ซัดกันทุกเรื่อง ไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไอ้ที่ก่อจลาจลก็เท่านั้นวันๆ ไม่ต้องทำมาหากินหน้าดำหน้าแดงเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่มีปัญญาก่อจลาจล ไม่รู้ได้เงินมาจากไหนนักหนา ปากมันตะโกนบอกว่า รักชาติบ้านเมือง แต่มันนั่นแหละทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่หยุดหย่อน
แหะ...แหะ...มันไม่ไหวจริงๆ ครับท่าน เมื่อมีคนมาก่อกวนบ้านเมืองให้ปั่นป่วนไม่หยุด คนทำมาหากินมันก็แย่ อยากให้บ้านเมืองสงบโดยเร็ว จึงได้ของขึ้นอย่างที่เห็นนั่นแหละ
ครับ นายเมืองไทย แกไปนอนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ขับรถพิคอัพไปด้วย ตกค่ำจอดอยู่ในบริเวณโรงแรมตามปกติ ตื่นขึ้นมาแกตาตั้ง เพราะรถหายหาไม่เจอ จึงแจ้งเถ้าแก่โรงแรมให้ช่วยจัดการด้วย
แน่นอน ผู้บริหารโรงแรมหน้าเหลืองเหมือนกัน เมื่อรู้ว่ารถของแขกที่มาพักโดนลักขโมย แต่ทำใจดีสู้เสือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบเรื่อยมา เมื่อ นายเมืองไทย รุกหนักเข้า ก็งัดกฎออกมาอ้างว่า เมื่อไม่แจ้งให้ทางโรงแรมทราบแต่แรกตอนเข้ามาพักว่า นำของมีค่า คือ รถพิคอัพราคาหลายแสนติดตัวมาด้วยตามกฎหมายทางโรงแรมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายไม่เกิน 500 บาทเท่านั้นแหละ จะเอาเปล่าล่ะ
ยังดีที่ก่อนหมดสัญญาประกันแค่วันเดียว คือ วันที่ 6 นายเมืองไทย ไปต่อสัญญาประกันชั้นหนึ่งกับบริษัทประกัน ได้กรมธรรม์ออกมามีผลบังคับไปจนครบ 1 ปี นายเมืองไทย จึงหันเหไปบี้บริษัทประกันซึ่งก็ไม่ง่ายสักเท่าไร บริษัทประกันไต่สวนทวนความจนแน่ใจว่า รถของ นายเมืองไทย ถูกโจรกรรมจริงๆจึงควักเงินจ่ายตามสัญญาประกันที่ทำไว้
การหากินทางประกันอันที่จริงน่าจะดี นอกจากจะได้เงินเบี้ยประกันแล้ว พอมีเหตุจ่ายเงินให้ใครปุ๊บบริษัทประกันก็เอาเชียว ไล่ต้อนหาคนรับผิด จนกระทั่งไปลงที่โรงแรม เพราะบริษัทประกันรู้ว่ากฎหมายแพ่งให้เจ้าสำนักโรงแรมรับผิดอย่างเต็มๆ เมื่อทวงถามแล้วไม่ได้ผล บริษัทประกันจึงสวมสิทธิ์ของ นายเมืองไทย ยื่นฟ้องโรงแรม เรียกเงินที่ได้จ่ายให้ นายเมืองไทย พร้อมดอกเบี้ย หรือให้ทางโรงแรมคืนรถให้แก่บริษัทประกัน
โรงแรมสู้คดี อ้างว่า รถไม่ได้โดนขโมย แต่ นายเมืองไทย ให้พรรคพวกที่มาด้วยกันขับออกไป มีพยานของโรงแรมรู้เห็น สัญญาประกันหมดอายุไปแล้ว นายเมืองไทย ไม่ได้ต่ออายุภายใน 30 วันตามเงื่อนไขที่มีในสัญญา บริษัทจ่ายเงินให้ นายเมืองไทย ไปโดยไม่ชอบ จึงเรียกร้องเอาจากโรงแรมไม่ได้ นายเมืองไทยนำทรัพย์สินมีค่าติดตัวมาด้วย แต่ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงแรมทราบ จึงเรียกให้รับผิดได้แค่ไม่เกิน 500 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้บริษัทประกันชนะคดี บังคับให้โรงแรมนำรถมาคืน ถ้าคืนไม่ได้ให้จ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลย คือ โรงแรม สู้ต่อไปด้วยการยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องเช่นเดิม แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
เรื่องยาวถึงศาลฎีกาเพราะโรงแรมยื้อจนถึงที่สุด ยกข้ออ้างต่างๆ อย่างที่ผ่านมาเพื่อเอาชนะ
ศาลฎีกาพิจารณาตามขั้นตอนแล้วแจกแจงเป็นข้อๆ แต่ไม่ได้นั่งอ่านออกอากาศทางทีวี เหมือนบางคดีดังต่อไปนี้
เรื่องรถโดนขโมยจริงไหม คนของ นายเมืองไทย ขับออกไปจากโรงแรมใช่หรือไม่ ศาลฎีกาฟันธงว่าพยานของทางโรงแรม 2 นาย บอกแต่เพียงว่า เห็นคนขับรถออกไป รูปร่างยังงั้นยังงี้ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นใคร เป็นคนที่มาพักกับ นายเมืองไทย หรือไม่ จึงฟังไม่ขึ้น
ข้ออ้างเกี่ยวกับสัญญาประกัน เมื่อปรากฏตามกรมธรรม์ว่า ในวันที่รถหายไป สัญญาประกันมีผลบังคับเขาจะต่อสัญญากันเมื่อไร ตรงตามเงื่อนไขของสัญญาหรือไม่ไม่สำคัญ ศาลฟังว่าสัญญาประกันที่ทำไว้มีผล เมื่อได้ความว่า บริษัทประกันจ่ายเงินให้ นายเมืองไทย ไปตามสัญญาเท่าไร ก็สวมสิทธิ์ไล่บี้โรงแรมได้เท่านั้น
ข้ออ้างสุดท้ายที่โรงแรมออกแนวหัวหมอ อ้างว่า นายเมืองไทย นำรถอันเป็นทรัพย์สินมีค่าติดตัวมาที่โรงแรม แล้วไม่แจ้งให้ทราบ ตามกฎหมายเมื่อเกิดการสูญหาย โรงแรมรับผิดชอบไม่เกิน 500 บาทนั้นศาลฎีกาบี้ทางโรงแรมไม่ให้ดิ้น โดยอ้างว่า รถที่ลูกค้านำมาด้วย ตามปกติไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินอันมีค่าที่ติดตัวมาตามกฎหมาย ที่จะต้องแจ้งแก่ทางโรงแรม จึงนำกฎจ่ายแค่ไม่เกิน 500 บาทมาบังคับไม่ได้เลี่ยงบาลีไม่ได้ ศาลล่างตัดสินให้โรงแรมรับผิด ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนในส่วนที่ให้โรงแรมจ่ายเงิน แต่ไม่บังคับให้นำรถมาคืนอย่างที่ศาลล่างว่าไว้เพราะรถโดนขโมยไปแล้วนี่นา โรงแรมจะเอารถคันนั้นจากที่ไหนมาคืนให้ได้ล่ะ
การประกอบธุรกิจโรงแรม อันที่จริงมีความเสี่ยงเรื่องรถของลูกค้า เมื่อจอดอยู่ในบริเวณของโรงแรมเกิดการสูญหาย แต่ละรายที่เกิดเรื่องขึ้น โรงแรมสู้คดีทั้งนั้น ก็มักจะไม่รอดสันดอน ต้องรับผิดชอบแทบทั้งสิ้น
แง่มุมที่โรงแรมอ้างว่า รถเป็นทรัพย์สินอันมีค่านั้น ดูเผินๆ น่าจะใช่ แต่ศาลท่านมองว่า ทรัพย์สินมีค่านำติดตัวมา ไม่ใช่จำพวกรถ ถึงแม้จะราคาแพงก็ตาม กฎหมายเน้นไปที่แก้วแหวนเงินทองที่สามารถนำติดตัวเข้าไปในโรงแรมได้จริงๆ ต่างหาก เพราะฉะนั้นมีคดีขึ้นมา การงัดมุกนี้มาอ้างจึงไม่ได้ผลและศาลยังเพ่งเล็งว่าลื้อหัวหมอเข้าไปอีก
สุดท้ายทางโรงแรมต้องหามาตรการป้องกันเอาเอง ด้วยวิธีการต่างๆ ถ้ามักง่ายหรือหละหลวมโรงแรมซวยได้เสมอ เพราะผู้ที่มาพักอาจเล่นมุกสกปรก ดอดเอารถออกไปเอง แต่โมเมอ้างว่ารถหายเพื่อเล่นงานโรงแรมก็เป็นไปได้เช่นกัน เกิดเป็นคนก็งี้แหละครับ เสี่ยงทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร จริงไหม
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78899