เล่นท้ายเล่ม
รักลูกให้ตี
สำนวนไทยเกิดแต่สมัยใดข้าพเจ้าคร้านจะค้นพบ ท่ามกลางความแน่นหนาของสำนวนไทยที่เรามีกันมาแต่โบราณนั้น ข้าพเจ้ากลับพบว่าบางสำนวน ยังมีคนไทยเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งผิดพลาดอีกไม่น้อย
ข้าพเจ้าได้ความรู้นี้จาก รองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล มหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านยกตัวอย่างสำนวนไทยที่คนไทยส่วนมากเข้าใจผิดมา 1 สำนวน คือ
รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
ก่อนจะเข้าไปถึงความหมายที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าลองเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พศ. 2542 ไม่พบสำนวนที่เป็นปัญหา
ในคำว่า รัก จากพจนานุกรม ได้พบสำนวนหลายประโยค เช่น
รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา ซึ่งพจนานุกรมแปลความหมายว่า ใฝ่ความดีจะมีความสุข ความเจริญ แต่ถ้าใฝ่ความชั่ว ก็จะได้รับความลำบาก
จั่ว เป็นเครื่องบนแห่งเรือนที่ปิดด้านสกัดหลังคา สำหรับกันลม และแดดฝน มีรูปเป็นสามเหลี่ยม
สำนวนนี้ดูแล้วไม่มีลักษณะ จะให้เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไปได้ แม้ว่าคนไทยสมัยใหม่จะรู้จัก จั่ว น้อยลงไปทุกวันก็เถอะ
รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ สำนวนนี้หมายถึง หากรักจะอยู่ด้วยกันนานๆ ก็ให้ตัดความคิดอาฆาตพยาบาทออกไป แต่ถ้ารักจะอยู่กันสั้นๆ ก็ให้คิดพยาบาทอาฆาตเข้าไว้
บั่น ก็คือ ตัดให้สั้น สำนวนนี้บางทีก็ใช้ว่า ยาวบั่น สั้นต่อ บั่นสำนวนเดิมลงไปแยะ
สำนวนนี้เหมาะสำหรับช่างแกะสลักอักษรไทยบนไม้ แบบ บ้านนี้ดี อยู่แล้วรวย แล้วสามารถนำไปแขวนตามผนังห้องได้ทุกสถานที่ แม้แต่หน้าห้องรัฐมนตรี
รักสามเส้า เป็นสำนวนที่ใช้ได้กับผู้ชายและผู้หญิง ถ้าใช้กับผู้ชาย ก็หมายถึง หนึ่งหญิง แต่สองชาย และถ้าใช้กับผู้หญิง ก็หมายถึง สองหญิง แต่หนึ่งชาย
หมายความว่าผู้ชายสองคนรักผู้หญิงคนเดียวกัน หรือผู้หญิงสองคนรัก คาวี (สวรรค์เบี่ยง ที่ลาจอไปแล้ว ของกฤษณา อโศกสิน) คนเดียวกัน
ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าหาไม่พบสำนวนที่ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
แม้ข้าพเจ้าหาไม่พบ ก็คิดว่าคนไทยอีกมากมีความเข้าใจต่อสำนวนไทยนี้ตรงกันกับข้าพเจ้า แต่ในที่สุดท่านรองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล ก็เป็นผู้แก้ไข
เดิมทีข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าเรารักวัวควายของเราก็ต้องผูกมันไว้ให้รอบคอบมั่นคง เพื่อป้องกันมิให้มันสูญหาย และถ้าเรารักลูกของเรา ก็ต้องใช้ระบบเฆี่ยนตีหากลูกของเรากระทำการไม่ถูกต้อง
เป็นทำนองคลองเดียวกับสำนวนไทยที่ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก หมายความถึง ต้องคอยตีลูกยังเล็ก มาตีเอาตอนมันแก่แล้ว ดีไม่ดีมันอาจเตะสวนกลับเราได้
ดูแล้วก็เป็นสำนวนไทยธรรมดาๆ ไม่มีความลึกซึ้งอะไรนักหนา รักวัวควายก็ต้องผูกมันในคอกให้ดี รักลูกก็ต้องใช้ไม้เรียวเป็นกลไกควบคุมความประพฤติ แม้ข้าพเจ้าเองเมื่อ 50 กว่าปีมาแล้วก็เคยถูกบิดาเฆี่ยนด้วยไม้ หรือเคยถูกผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสวนกุหลาบเฆี่ยนก้นสมัยเรียนมัธยมปีที่ 7
รองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล บอกข้าพเจ้าว่าเป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าก็ถามว่า มันผิดยังไง และมันผิดตรงไหน ท่านก็เลยให้ความรู้แก่ข้าพเจ้าฟรีๆ ไม่คิดสตางค์
ท่านอธิบายว่า ก่อนอื่นต้องรู้เสียก่อนว่าท่านไม่ได้คิดประดิษฐ์ความหมายสำนวนไทยนี้ขึ้นมาเอง แต่ท่านมีข้อมูล มีที่มาซึ่งอ้างอิงได้ และนั่นก็คือ การได้อ่านและศึกษา ปฐมจินดา อันเป็นคู่มือการเลี้ยงดูเด็กของคนไทย
ปฐมจินดา เป็นตำราที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบ ไม่เคยอ่าน เคยจำได้แต่หนังสือ ปฐม กอกา
ปฐมจินดา ตำราเลี้ยงดูเด็กไทย เป็นตำราที่เขียนขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ใช้เป็นคู่มือสำหรับการดูแลทั้งมารดา และการเลี้ยงดูเด็กของคนไทย เป็นตำราที่ยืนยันความยากลำบากของคนที่เป็นมารดา
ความยากลำบากที่ว่านั้น เกิดตั้งแต่การตั้งครรภ์ จนถึงการคลอดทารก
ปฐมจินดา เล่มนี้สอนให้มีการดูแลครรภ์ การดูแลทารกในครรภ์ จะต้องผ่านการทนุถนอมอย่างไร และเพียงใด จึงจะคลอดออกมาเป็นลูกที่ดีของวงศ์ตระกูล
รองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล ชี้ให้เห็นว่า สำนวนไทยที่บอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี นั้นเป็นสำนวนที่ให้ความหมายลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกเราเข้าใจกันแบบพื้นๆ อันเป็นความเข้าใจที่ผิด
และความคิดต่อสำนวนไทยนี้ ก็ได้มาจากการวิเคราะห์ การศึกษาและการอ่านตำรา ปฐมจินดา นั่นเอง
คำว่า รักวัวให้ผูก นั้นแท้ที่จริงแล้ว หมายถึง หากเราจะให้ความรักแก่สัตว์เลี้ยงของเรา หรือถ้าจะคิดเอาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงในบ้าน ก็ต้องให้ความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงนั้นๆ
ผูกพัน ก็คือ การสร้างความรักความเข้าใจกับสัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยงดูมัน
ส่วนคำว่า รักลูกให้ตี ท่านก็อธิบายว่า ถ้าจะรักลูก ก็ต้องตีกรอบให้ลูกของเราอยู่ในกรอบวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย
คำว่า ตี ไม่ได้หมายถึง การเฆี่ยนตี แต่หมายถึง การตีกรอบ เหมือนคำไทยที่บอกว่า ตีทอง ซึ่งมีความหมายว่า การตีทองนั้น ต้องค่อยๆ ตีทองให้เข้ากรอบอย่างประณีต
หรือการ ตีขัน ตีบาตร อันเป็นการบุให้เข้ารูป อย่างไรก็อย่างนั้น
รวมความว่า ตี ในสำนวนไทยนี้ไม่ใช่หมายถึง การเฆี่ยนตี หรือการลงโทษ แบบ ตีเด็ก อย่างที่เข้าใจกันทั่วไป
ไม่น่าเชื่อครับว่า สำนวนไทยนี้จะกินความหมายลึกซึ้ง และโดนใจคนไทยอย่างถนัด
สำนวนไทยอีก 1 สำนวนที่เข้าใจผิดง่ายๆ และเชื่อว่า คนไทยส่วนมากก็ยังเข้าใจผิด คือ เกาะชายผ้าเหลืองลูกเข้าโบสถ์
สำนวนไทยนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ คือ เข้าใจว่า มารดาจะได้บุญอนันต์ หากได้มีโอกาสเกาะชายผ้าเหลืองลูกชาย เวลาที่เขาหามเข้าไปในโบสถ์เพื่อบวชทดแทนพระคุณมารดา
ถึงเวลานั้นก็จะเห็นคนที่เป็นแม่ พยายามจับชายผ้าเหลืองลูกชายที่กำลังเป็นนาค เพราะเชื่อว่าจะได้บุญกุศลอนันต์ ก็อีตอนที่ลูกมายอมบวชให้นี่แหละ
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปทำบุญที่วัดสร้อยทอง ย่านสะพานพระราม 7 ได้พบพระที่วัด และท่านได้กรุณาแก้ไขความเข้าใจเกี่ยวกับสำนวนไทยนี้ให้ฟัง
ท่านบอกข้าพเจ้าว่า การเกาะชายผ้าเหลืองเข้าโบสถ์นั้น ไม่ใช่หมายความตามที่เราเข้าใจ แต่หมายความถึง การได้บวชเรียนของลูกจะเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมแก่มารดา ก็อยู่ที่ตัวมารดาเองจะพึงเข้าถึงการบวชเรียนของบุตรหรือไม่
สำนวนนี้ หมายความว่า หากลูกได้บวชเรียนแล้ว ก็จะเท่ากับว่า ได้ดึงให้มารดาเข้าถึงพระธรรมคำสอนไปด้วยกัน หมายถึง รสแห่งพระธรรมคำสอนจะช่วยให้มารดาเกิดความเข้าใจในชีวิต และหมายถึง การมีดวงตามองเห็นธรรม
ไม่จำเป็นที่มารดาต้องเบียดเสียดผู้คนเข้ามาเกาะชายผ้าเหลืองของบุตร เวลาที่เข้าโบสถ์เพื่อการบวชเรียน
ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยเราทุกวันนี้ ยังเข้าใจอะไรผิดๆ หลายต่อหลายสิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากเห็นการแก้ไข และอยากพบผู้ที่แก้ไข เพื่อรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตความเป็นคนไทยของเราไม่ให้เกิดความสิ้นสลาย หรือล่มสลาย อันจะเป็นเรื่องที่เกิดความเสียดาย มรดกโลกชิ้นสำคัญ ไปอย่างชนิดเรียกกลับไม่ได้อีกเลย
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78654