ใส่สีใส่สัน
AMADEUS
หนึ่งในหนังคลาสสิคหลายเรื่องของผม ต้องยกให้ "AMADEUS" ภาพยนตร์ 8 ตุ๊กตาทองจากการกำกับการแสดงของ มิลอส ฟอร์แมน สร้างในปี 1984 ด้วยความยาวในการฉายนานถึง 158 นาที
AMADEUS โดยทั่วไปแล้วมันก็คือ นวัตกรรมเอกอีกชิ้นหนึ่งของฮอลลีวูด ที่เดินตามรอยภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ อย่าง "GONE WITH THE WIND" ภาพยนตร์ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ มาร์กาเรท มิทเชลล์
ความลำบากสุดยอดของการทำหนังที่มาจากวรรณกรรมยอดเยี่ยมของโลก อยู่ที่การเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนนวนิยายของผู้ประพันธ์ ย่อมมีข้อแตกต่างกับการเขียนบทภาพยนตร์ รายละเอียดทุกเรื่องล้วนแตกต่างกันในการนำเสนอ แม้แต่การนำเสนอตัวละครเป็นตัวอย่างซึ่งนักประพันธ์สามารถมีเวลาเนิบนาบให้กับการเปิดตัวละครได้ตามเส้นทางที่ต้องการ
แต่ในเรื่องเดียวกัน หากเขียนเป็นบทภาพยนตร์ขึ้นมาแล้ว ความยืดยาดทั้งหลายทั้งปวงต้องถูกบั่นให้สั้นลงอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อป้องกันการสับสนที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ชมภาพยนตร์
รายละเอียดของทุกด้านจึงถูกตัดตอนเป็นเรื่องธรรมดา สาระสำคัญต่างหากอยู่ที่การตัดตอนของผู้เขียนบท จะเป็นการตัดตอนที่ถูกต้อง และเหมาะสมหรือไม่
AMADEUS ถูกดัดแปลงมาแล้วทั้งรูปแบบของละครเวที และภาพยนตร์ ซึ่งได้รับเกียรติอย่างสูงมาด้วยกันทั้ง 2 รูปแบบ
ตามหลักการของรูปแบบ ต้องเป็นที่ยอมรับว่า ดัดแปลงเพื่อละคร ง่ายกว่าการดัดแปลงเพื่อภาพยนตร์ เช่น เวทีการแสดงละครกับการจำกัดขอบเขตของพื้นที่ แตกต่างจากฉาก
ในภาพยนตร์
ขณะที่ละครเวที มีแค่เก้าอี้กับโต๊ะ แต่ในภาพยนตร์ย่อมต้องมีฉากเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมีทุกสิ่งเป็นไปตามจินตนาการของผู้เขียน
ยกตัวอย่างฉากแรกของ AMADEUS ในละคร ซาลิเอรี เยินยอพระเจ้า และสาปแช่งโมซาร์ท ด้วยลำนำเพลง แต่ในภาพยนตร์เขาใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำ สายตาแหงนมองไม้กางเขนเบื้องบน
AMADEUS เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละคร 2 คน ระหว่าง ซาลิเอรี กับ โวล์ฟกัง อมาดีอุสโมซาร์ท ใครเป็นอย่างไร คือ ใจความทั้งหมดของเรื่องนี้
ภาพยนตร์ย้อนหลังไปในปี 1823 ชายชราคนหนึ่งชื่อ ซาลิเอรี พยายามฆ่าตัวตายด้วยการเฉือนคมลงไปที่คอหอยของเขา เป็นการล้างบาปกรรมที่เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ฆ่า อมาดีอุส
ซาลิเอรี ได้รับการช่วยเหลือ และนำส่งโรงพยาบาลโรคจิต ได้มีพระหนุ่มรูปหนึ่งเข้ามาให้พรและบอกกับเขาว่า "มนุษย์เราทุกรูปนามย่อมอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างเท่าเทียมกัน" ซึ่ง ซาลิเอรี ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดเพราะคำกล่าวนั้น
ซาลิเอรี ตามภาพยนตร์แล้วดูเป็นคนริษยา โมซาร์ท มาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะได้ยินว่า โมซาร์ทเข้าไปเล่นเพลงได้ถึงในวังตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ส่วนเขากลับเล่นเป็นเด็กข้างถนนเพราะพ่อไม่สนใจ ไม่สนับสนุนให้เขาเรียนด้านการดนตรี
เขาสาบานกับพระเจ้า ขอให้พระช่วยจนสำเร็จ จนได้กลายเป็นคีตกวีประจำพระราชสำนักและได้พบกับ โมซาร์ท ซึ่งเพียงครั้งแรกที่พบกัน โมซาร์ท ก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเหนือชั้นกว่า ซาลิเอรี
พร้อมกับนำส่วนที่เขาดัดแปลงงานของ ซาลิเอรี มาใส่ในโอเปรา "THE MARRIAGE OF FIGARO"
งานชิ้นสุดท้ายของ โมซาร์ท คือ THE MAGIC FLUTE สุขภาพของเขาถึงจุดจบดวงชะตาของเขาพบทางตัน ภรรยาหนีไปกับลูก แต่กลับมาอีกครั้งก็สายเกิน
ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนักเขียนเพลงผู้ยิ่งใหญ่ คือ การดื่มอย่างหนัก แต่ถูกบังคับให้เขียนเพลงโดย ซาลิเอรี แม้นอนแซ่วในเตียง เขาก็ยังบอกให้ ซาลิเอรี เขียนตามคำบอก
ศพของ โมซาร์ท ถูกฝังอยู่นอกกรุงเวียนนาอย่างอนาถา เสียงสุดท้ายที่แฟนภาพยนตร์ได้ยินก็คือ เสียงหัวเราะของ โมซาร์ท ในขณะภาพแสดงให้เห็น ซาลิเอรี นั่งจมอยู่บนเก้าอี้เลื่อนงานที่ถูกใจผมมากก็เห็นจะเป็นการลำดับภาพ การตัดกลับไปกลับมา การแทรกซ้อนของภาพในแต่ละจังหวะ ล้วนเป็นศิลปะของความประณีตในการสรรค์สร้างความมหัศจรรย์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรี หรือด้านการแสดงของตัวละคร
ตั้งแต่ ทอม ฮิลศ์ ผู้รับบทเป็น โมซาร์ท จนถึง เจฟฟรีย์ โจนส์ ผู้แสดงยอดเยี่ยมในบทของจักรพรรดิโจเซฟ ที่ 2
โดยไม่ต้องพูดถึงผู้แสดงนำชาย ที่เก็บรางวัลตุ๊กตาทองไปตามคาด คือ เอฟ เมอร์เรย์ อับราฮัม ผู้แสดงเป็น ซาลิเอรี จอมริษยา หรือชายชราผู้เปิดฉากของเรื่องนี้
อีก 7 รางวัลตุ๊กตาทองที่เหลือของ AMADEUS คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, กำกับการแสดงยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม,บันทึกเสียงยอดเยี่ยม และ แต่งหน้ายอดเยี่ยม
ที่ผมแปลกใจ ก็คือ คนเขียนบทภาพยนตร์ดัดแปลง เพราะเขาผู้นี้คือ ปีเตอร์ แชฟเฟอร์คนๆ เดียวกับที่ดัดแปลง AMADEUS เป็นละครนั่นเอง แปลกใจเพราะมันคือ บทภาพยนตร์แห่งความมหัศจรรย์ของผมจริงๆ เขาทำได้อย่างเนียนมือมากที่สุด
จนผมรู้สึกว่า ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นจอมริษยา เหมือน ซาลิเอรี ยังไงยังงั้น
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78541