รู้ไว้ใช่ว่า
ประกัน 2 ทาง ชาวบ้านยุ่ง
คดีนี้เกิดจากรถ 10 ล้อบรรทุกสินค้าของ นายธุรกิจ โดนรถบรรทุกพ่วงของ นางขาวเนียน
ซึ่งมี นายชัวร์เสมอ เป็นโชเฟอร์ขับชนบั้นท้าย รถของนายธุรกิจ ตกลงไปข้างทาง ทั้งรถทั้งสินค้า
เสียหาย เครื่องเซรามิคแตกยับ
เกิดเรื่องแล้ว ทั้งนายธุรกิจ และนางขาวเนียน ซึ่งรูปร่างอ้วนและค่อนข้างดำเจอหน้ากัน
ต่างโล่งอกเมื่อรู้ว่ารถแต่ละฝ่ายทำประกันชั้นหนึ่งไว้คนละบริษัท มีผู้รับหน้าเสื่อเคลียร์
ค่าเสียหาย ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องขึ้นโรงศาล แต่ไม่เป็นยังงั้นซะนี่
นายธุรกิจนั้นเสียค่าซ่อมรถ ค่าลากรถ รวมแล้ว 5 แสน 6 หมื่นบาทเศษ สินค้าที่นายธุรกิจรับจ้าง
บรรทุก คือ เซรามิค แตกป่นปี้ คิดเป็นเงิน 3 แสน 5 หมื่นบาท นั่นหมายความฝ่ายนายธุรกิจ
โดนเข้าไปร่วม 1 ล้านบาท เห็นหรือยังว่า อุบัติเหตุทางรถมันเสียหายใช่ย่อย ล้อเล่นไม่ได้หรอก
บริษัทประกันรถของนางขาวเนียนพอใช้ได้ รับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายให้เจ้าของสินค้าเซรามิค
ทั้งหมด คือ 3 แสน 5 หมื่นบาท ส่วนบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถของนายธุรกิจ ควักเงินจ่าย
ค่าเสียหายให้นายธุรกิจ 2 แสนบาท เข้าใจว่าทำวงเงินไว้แค่นั้นหรือยังไงไม่ทราบ
นายธุรกิจนับนิ้วมือนิ้วเท้าแล้วร้อง เอ๊ะ ! อั๊วได้ค่าเสียหายแค่ 2 แสนบาทเท่านั้นเอง ขณะที่
โดนเข้าไป 5 แสน 6 หมื่นบาทเศษ หักแล้วยังเข้าเนื้ออีก 3 แสน 6 หมื่นบาทเศษ จะว่ายังไง
ละคุณนายขาวเนียน รวมทั้งบริษัทประกันของคุณด้วย จะชักดาบงั้นเหรอ
นางขาวเนียนหันไปเหล่ใส่ บริษัทหงึกหงักประกันภัย ที่รับประกันภัยรถของตน
เกณฑ์ให้ช่วยรับผิดชอบ บริษัทประกันยักคิ้ว บอกว่างานนี้หายห่วงเจ๊ เพราะเรามีข้อตกลง
กับบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถของเฮียธุรกิจว่า ถ้ารถมีประกันของทั้ง 2 ฝ่ายมาจ๊ะเอ๋
กันจนเสียหาย ถือว่าต่างฝ่ายต่างซ่อม รถของเฮียธุรกิจได้ค่าเสียหายไม่พอ บริษัทประกัน
ของเขาต้องดูแลอยู่แล้ว เจ๊ไม่ต้องสนใจ ไปนอนตีพุงได้เลย
ทำไปทำมาไม่มีใครรับผิดชอบค่าเสียหาย 3 แสน 6 หมื่นบาทเศษ ของนายธุรกิจ เจ้าตัวต้อง
กัดฟันค้าความ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นนักการเมืองไทยที่ขยันค้าความเหลือเกิน ปานประหนึ่งชาวบ้าน
เลือกมาให้ค้าความกับคนโน้นคนนี้ก็ไม่ปาน แล้วจะเอาหัวสมองไปทำงานในหน้าที่ได้ยังไง
นายธุรกิจให้ทนายยื่นฟ้องนายชัวร์เสมอ โชเฟอร์รถบรรทุกพ่วง ที่ขับรถของนางขาวเนียน
โดยประมาท ฟ้องนางขาวเนียน และบริษัทหงึกหงักประกันภัย ที่รับประกันรถบรรทุกพ่วง
ของนางขาวเนียน ให้ร่วมกันรับผิด จ่ายค่าเสียหายอีก 3 แสน 6 หมื่นบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย
โชเฟอร์ของนางขาวเนียน เป็นแค่ลูกจ้าง แพ้ชนะคดีไม่สนใจ จึงอยู่เฉยๆ
นางขาวเนียน กับบริษัทประกันภัย ตั้งป้อมสู้คดี ไม่มีใครยอมจ่าย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้จำเลยทั้ง 3 แพ้คดี ให้จ่ายเงินแก่นายธุรกิจตามฟ้อง
เฉพาะบริษัทประกันให้รับผิดในวงเงิน 1 แสน 5 หมื่นบาท ตามวงเงินประกันที่เหลือ
จากการจ่ายค่าเสียหายให้แก่เจ้าของสินค้าเซรามิคที่บรรทุกอยู่บนรถของนายธุรกิจ
นางขาวเนียน กับนายชัวร์เสมอ ไม่ดิ้นรนอะไรอีก ยอมตามที่ศาลชั้นต้นตัดสิน
บริษัทหงึกหงักประกันภัย ที่รับประกันรถของนางขาวเนียน ถนัดในการค้าความอยู่แล้ว
เดินหน้ายื่นอุทธรณ์ บอกว่าไม่ต้องรับผิด เพราะมีข้อตกลงกับบริษัทที่รับประกันรถของนายธุรกิจ
ไว้แล้ว ต่างคนต่างซ่อม
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาเหมือนๆ เดิม ให้บริษัทหงึกหงักประกันภัย รับผิดในคดีนี้
ในวงเงิน 1 แสน 5 หมื่นบาท พร้อมดอกเบี้ย
บริษัทประกันภัยเล่นเกมยาวให้นายธุรกิจเวียนหัว ไม่ได้เงินค่าเสียหายตามฟ้องง่ายๆ
ยื่นฎีกาขึ้นไป อ้างอย่างเดิม
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ อดหัวเราะไม่ได้ แล้วชี้ขาดออกมาว่า
ข้ออ้างของบริษัทหงึกหงักประกันภัย ที่บอกว่า ได้จ่ายค่าเสียหายเต็มวงเงินประกันแล้ว
โดยจ่ายค่าเสียหายให้เจ้าของสินค้าเซรามิคไป 3 แสน 5 หมื่นบาท บริษัทประกันภัยที่รับประกัน
รถของนายธุรกิจ จ่ายค่าเสียหายให้นายธุรกิจอีก 2 แสนบาท นับ 2 ยอดรวมกันตั้ง
5 แสน 5 หมื่นบาท ถือว่าเต็มวงเงินประกันของบริษัทหงึกหงักประกันภัยแล้ว เพราะเหตุ
ที่ว่าบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถของนายธุรกิจ จับมือทำข้อตกลงกับบริษัทหงึกหงักประกันภัย
งานนี้ให้ต่างคนต่างซ่อมให้แก่ลูกค้าของตน ไม่เรียกร้องจากอีกฝ่ายหนึ่ง นายธุรกิจจึงแบมือ
เรียกร้องจากบริษัทหงึกหงักประกันภัยไม่ได้หรอก
ศาลฎีกาแจงว่า ถึงแม้บริษัทประกันทั้ง 2 เจ้า จะมีข้อตกลงอีแบบนั้น มันก็ผูกพันเฉพาะ
บริษัทประกันทั้ง 2 ไปสิ จะให้มีผลลามไปถึงคนอื่น อันได้แก่ นายธุรกิจ ที่เขาไม่ได้ทำข้อตกลง
ด้วยได้ยังไงละวุ้ย คิดได้ยังไง แปลกพิลึก อันนี้ผมว่าเอง เมื่อบริษัทหงึกหงักประกันภัย
ยังมีวงเงินที่ต้องรับผิดชอบตามทำสัญญารับประกันรถของนางขาวเนียนอีก 1 แสน 5 หมื่นบาท
บริษัทก็ต้องควักจ่ายให้เขาไปซิ เฮ้อ ค้าความอยู่ได้ อันนี้ผมว่าเอง
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้
ก็อย่างที่บอก บริษัทหงึกหงักประกันภัยคิดได้ยังไง ถึงได้ตั้งป้อมสู้คดีแบบนี้ จะไปเกณฑ์ให้
ชาวบ้านเขามาผูกพันตามสัญญาที่ไปทำไว้กับบริษัทประกันอื่น ทั้งๆ ที่ทางกฎหมายถือว่าเขา
เป็นบุคคลภายนอก แปลกแต่จริง
อันที่จริงบริษัทหงึกหงักประกันภัยน่าจะไปค้าความกับบริษัทประกันภัยที่เป็นคู่สัญญา และเขา
คงจะค้าความอยู่แล้ว เรียกเงินที่โดนศาลบังคับให้จ่ายแก่นายธุรกิจจนได้นั่นแหละ
เซ็งพอสมควร ถ้าเจอบริษัทประกันทำนองนี้ แต่ทานโทษยังไม่เซ็งเท่าเรื่องการเมืองไทยในยามนี้
จริงไหมท่านพระครู
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4256/2548
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78266