ตอบจดหมาย(4wheels)
ไฟหน้าแบบซีนอน
1. ไฟหน้าแบบซีนอน จะให้ความสว่างมากกว่าแบบฮาโลเจน 2-3 เท่า ทนต่อการใช้งานในเส้นทางสมบุกสมบันได้ดีกว่า ระยะทางและแนวกว้างของความส่องสว่างมีมากกว่าหลอดแบบฮาโลเจน
2. การปรับรอบเดินเบาที่ไม่สัมพันธ์กับการรับภาระจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้เมื่อเทอร์โมสตรัทส่งสัญญาณตัด หรือต่อการทำงานของคอมเพรสเซอร์ เป็นสาเหตุให้ไปฉุดรั้งรอบของเครื่องยนต์ได้
3. น้ำมันเบรคมีคุณสมบัติทนความร้อน มีจุดเดือดสูง แต่ดูดความชื้นในอากาศได้ดี ทำให้ในระบบเบรคมักมีน้ำผสมอยู่ มีผลทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของระบบเบรคที่เป็นโลหะเกิดสนิมได้
ไฟหน้าซีนอน
ฉบับแรกจาก ปฏิพัทธ์ สิกรรณา/จ. ชุมพร ต้องการข้อมูลของไฟหน้าแบบซีนอน
ถาม : รถกระบะรุ่นใหม่ๆ บางยี่ห้อใช้ไฟหน้าแบบซีนอน เห็นว่าสว่างกว่าไฟหน้าแบบฮาโลเจนมาก
อยากทราบว่าทำไมยี่ห้ออื่นถึงไม่ใช้บ้าง และช่วยอธิบายข้อดีข้อเสียของไฟหน้าทั้ง 2 แบบด้วยครับ ?
ตอบ : ไฟหน้าแบบซีนอนนั้น ลักษณะของหลอดไฟส่องสว่างเป็นแบบหลอด HID (HIGH INTENSITY DISCHARGE) เป็นหลอดไฟชนิดไร้ไส้ โครงสร้างคล้ายหลอดฟลูออเรสเซนท์ ภายในหลอดบรรจุแกสซีนอน พร้อมซีลปิดอย่างมิดชิด เมื่อเริ่มใช้งานจะส่งผ่านกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงเข้าไปที่ขั้วด้านในหลอด เป็นผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางพลังงานฟิสิคส์ เกิดเป็นไฟส่องสว่าง ซึ่งความสว่างจะมากกว่าหลอดฮาโลเจน 2-3 เท่า แถมหลอดไฟแบบซีนอนยังกินไฟน้อยกว่าครึ่งของหลอดไฟแบบฮาโลเจน เมื่อเทียบกับหลอดขนาดเดียวกัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีการสูญเสียพลังจากระบบน้อย และด้วยการที่หลอดไฟซีนอนไม่ต้องมีไส้ จึงทำให้หลอดทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าหลอดฮาโลเจน เหมาะกับการใช้งานในเส้นทางวิบากที่สมบุกสมบัน
เหตุที่รถยนต์ยังไม่ใช้ไฟหน้าแบบซีนอนครบทุกยี่ห้อ น่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนการผลิต เพราะไฟหน้า
แบบซีนอนนั้น นอกจากตัวหลอดจะมีราคาแพงแล้ว อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบ เช่น ตัวจุดสตาร์ทกระแสไฟ คอยล์เพิ่มแรงดันกระแสไฟ และอุปกรณ์อื่นๆ ยังมีราคาแพงกว่าอีกด้วย ทำให้บริษัทรถยนต์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
สำหรับข้อดีของไฟหน้าแบบซีนอนนั้น จะให้ความสว่างมากกว่าแบบฮาโลเจน 2-3 เท่า ทนต่อการใช้
งานในเส้นทางสมบุกสมบันได้ดีกว่า ระยะทางและแนวกว้างของความส่องสว่างมีมากกว่าหลอดแบบฮาโลเจน
ส่วนข้อเสียน่าจะอยู่ที่ราคาแพง และแสงสีขาวที่มักถูกดูดกลืนได้ง่ายบนถนนราดยางแอสฟัลท์ และ
ขณะฝนตก อีกทั้งความสว่างที่มากเกินไป จะส่งผลต่อสายตาของคนที่ขับรถวิ่งสวนมา ทำให้ตาพร่ามัว เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
แอร์ตัด เครื่องกระตุก
ฉบับที่สองจาก ทวี อุ่นเมือง/จ. ระยอง ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหารอบการทำงานของแอร์ในรถยนต์
ถาม : ผมใช้รถพิคอัพ ฟอร์ด เรนเจอร์ มีปัญหาคือ เวลาเปิดแอร์ โดยปรับระดับความเย็นไปในช่วง
กลางๆ เมื่อแอร์ตัด รอบเครื่องยนต์จะวิ่งสูงถึงประมาณ 1,500 รตน. ในขณะจอดปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบา แต่พอแอร์ทำงาน รอบเครื่องยนต์จะตกไปที่ประมาณ 750-800 รตน. เป็นเช่นนี้ตลอด และหากรถวิ่งอยู่ ความเร็วจะวูบจนสังเกตได้ บางครั้งทำให้เสียจังหวะขณะเร่งแซง ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ช่วยแนะนำด้วยครับ ?
ตอบ : ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการปรับรอบเดินเบาของแอร์ หรือชุดไอเดิล-อัพ ไม่สัมพันธ์กับรอบ
เดินเบาของเครื่องยนต์ ทำให้เมื่อเทอร์โมสตรัทของแอร์ส่งสัญญาณตัด หรือต่อการทำงานของคอมเพรสเซอร์ จึงเป็นสาเหตุให้ไปรั้งหรือฉุดรอบของเครื่องยนต์ได้
การแก้ไขต้องปรับตั้งรอบเดินเบาของชุดไอเดิล-อัพแอร์ ให้มีรอบเท่ากับรอบเดินเบาของเครื่องยนต์
หากคุณมีความรู้เชิงช่างสักนิดก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เครื่องมือที่ใช้มีเพียงไขควงปากแบนเพียงตัว
เดียว เริ่มจากปิดสวิทช์แอร์ในรถ และมองหาปุ่มพลาสติคคล้ายเม็ดมะยมบริเวณใกล้กับชุดกรองอากาศ ลองบิดไปมา แล้วพยายามให้รอบเครื่องยนต์ที่แสดงบนมาตรวัดชี้ไปที่ประมาณ 850 รตน. หลังจากนั้นเปิดสวิทช์แอร์บิดปุ่มอุณหภูมิไปที่เย็นจัด แล้วมองหาปุ่มของชุดไอเดิล-อัพแอร์ ใช้ไขควงหมุนปรับรอบ ให้เข็มมาตรวัดบนแผงหน้าปัดชี้ไปที่ประมาณ 850 รตน. เช่นกัน เพียงเท่านี้ไม่ว่าแอร์จะตัดหรือทำงาน ก็ไม่ฉุดรั้งรอบของเครื่องยนต์อีกต่อไป
แต่หากปรับตามที่แนะนำแล้วยังมีปัญหาเช่นเดิมอีก ขอสันนิษฐานว่าชุดไอเดิล-อัพของแอร์ผิดปกติ
แล้ว ต้องนำรถเข้าศูนย์บริการให้ช่างตรวจเชคความผิดปกติ อาจต้องเปลี่ยนชุดไอเดิล-อัพใหม่ แต่อยากให้ลองทำวิธีที่แนะนำให้ดูก่อน ถ้าแก้ไขไม่ได้ค่อยส่งเข้าศูนย์บริการ
เปลี่ยนน้ำมันเบรค
ฉบับสุดท้ายจาก อลงกรณ์ ทวีทรัพย์/กทม. ขอปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันเบรค
ถาม : ผมใช้รถมา 3 ปี ระยะทางเกือบแสนกิโลเมตรแล้ว ยังไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเบรคเลย ระบบเบรคก็
ยังใช้งานได้ดีอยู่ อยากทราบว่าน้ำมันเบรคนั้นต้องเปลี่ยนด้วยหรือไม่ หากไม่เปลี่ยนจะมีผลเสียอย่างไร ?
ตอบ : ระบบเบรคในรถยนต์ทุกวันนี้ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฮดรอลิค ที่ใช้แรงดันให้น้ำมันเบรค
ไปดันลูกสูบในคาลิเพอร์เบรคให้ถ่างตัวออก น้ำมันเบรคนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบไฮดรอลิคแล้ว ยังทำหน้าที่คอยหล่อลื่นระบบเบรคทั้งหมดอีกด้วย
แต่เนื่องจากระบบเบรคต้องรองรับการใช้งานที่สมบุกสมบันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้น้ำมันมี
อุณหภูมิสูงกว่าปกติ ความแตกต่างของอุณหภูมิในน้ำมันเบรคนี้เองที่ทำให้คุณภาพน้ำมันค่อยๆ เสื่อมไป อีกอย่างคือ น้ำมันเบรคมีคุณสมบัติทนความร้อน มีจุดเดือดสูง ผลเสียที่ตามมาคือ ดูดความชื้นในอากาศได้ง่าย เมื่อค่าความชื้นที่น้ำมันเบรคดูดไปมากถึงระดับหนึ่ง จะทำให้ในระบบเบรคมีน้ำผสมอยู่ และจะทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของระบบเบรคที่เป็นโลหะเกิดสนิมได้ ส่งผลให้น้ำมันเบรคเปลี่ยนจากสีใส กลายเป็นสีน้ำตาลแดงหรือสีเทา หากยังใช้งานต่อไปนานๆ ชิ้นส่วนของระบบเบรคจะถูกกัดกร่อนจนเสียหาย กลายเป็นที่มาของเบรคแตก หรือเบรคใช้งานไม่ได้
ดังนั้น ทางที่ดีควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทุกๆ 30,000 กม. และทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันเบรคใหม่ ควรไล่ลมในระบบทุกครั้ง ที่สำคัญ ควรเลือกใช้น้ำมันเบรคตามที่ในคู่มือระบุให้ใช้เท่านั้น
เรื่องโดย : อีซี แมน
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ตอบจดหมาย(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77626