รู้ลึกเรื่องรถ
ลดคาร์บอนไดออกไซด์แบบไหนดี ?
คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นแกสคู่ชีวิตของเราตลอดมา กลายเป็นผู้ร้ายรายใหม่ไปแล้ว ที่ผม
เรียกว่าแกสคู่ชีวิต เพราะมันอยู่ในลมหายใจออกของเรามาตลอด ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ของ
พวกเรา ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมมันกลายเป็น "ผู้ร้าย" ไปได้ในขณะนี้
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวครับ นั่นคือ ความสมดุล คนและสัตว์ แลกแกสนี้กับพืชมาตลอด
เพื่อชีวิตของทั้งสองฝ่าย ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อความสมดุลหมดไป เพราะมนุษย์เราที่หลงตนว่า
ฉลาดล้ำ ไปนำสารต่างๆ ใต้ดิน ที่มีพลังงานสะสมอยู่ในเนื้อของมันตามธรรมชาติมาใช้ ซึ่ง
ก็คือน้ำมันดิบ ถ่านหิน และแกสธรรมชาติ
ถ้าจะมองปัญหานี้ให้เข้าใจจริงๆ ต้องไม่หลงประเด็นครับ บางคนก็หลงประเด็นเพราะเข้าใจ
ผิดเอง บางคนก็ถูกหลอกให้เข้าใจผิด โดยการเบี่ยงประเด็น โดยคนที่มีผลประโยชน์ตอบแทน
จากการขายสารที่มีพลังงานอยู่ในเนื้อของมันเหล่านี้ ที่เราแปลมาจากภาษาต่างประเทศ จน
คุ้นเคยกันดีแล้วว่า "เชื้อเพลิง"
ผมอยากให้เข้าใจว่า สารพวกนี้มันเป็นเชื้อเพลิงก็จริง แต่มันอยู่ของมันเฉยๆ ใต้ดิน เป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ มันมิได้เกิดขึ้นหรือมีอยู่เพื่อให้มนุษย์เอามาใช้เลยนะครับ เราไปพบโดยบังเอิญว่ามันอยู่ใต้ดิน และสามารถปลดปล่อยพลังงานความร้อนออกมาได้ ถ้าเอาพลังงานความร้อนจากที่อื่นไปกระตุ้นมัน เช่น เอาเปลวไฟเผาให้มันลุกไหม้ จากนั้นก็หาวิธีเปลี่ยนพลังงานความร้อนในเชื้อเพลิงพวกนี้ ให้เป็นพลังงานกล ในภาษาชาวบ้านก็คือ หาทางแปลงความร้อนให้กลายเป็นแรงนั่นเอง ซึ่งก็คือการประดิษฐ์เครื่องจักร เครื่องยนต์ต่างๆ มีทั้งแบบแปลงโดยตรง เช่น เครื่องยนต์ในรถของพวกเรา
หรือแบบทางอ้อม เช่น เอาความร้อนไปต้มน้ำให้เดือดกลายเป็นไอ แล้วเอาความดันไอน้ำนี้ไปแปลงเป็นแรงหมุนล้อของหัวลากรถไฟอีกต่อหนึ่ง
พอมีเครื่องทุ่นแรง การดำรงชีพในสังคมของพวกเราก็เปลี่ยนไป พวกเราถูกทำให้เชื่อว่า มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขไม่ได้เด็ดขาด ถ้าขาดเครื่องทุ่นแรงที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงเหล่านี้ จริงหรือไม่ ผมไม่ขอตัดสินและชี้แจงในคอลัมน์นี้ครับ ไม่ใช่หน้าที่ของผมและไม่มีเนื้อที่เพียงพอด้วย
ถ้าผิดจริง ก็เป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนที่มีชีวิตอยู่ เมื่อย้อนหลังไปเป็นร้อยปีครับ ไม่ใช่พวกเราแน่นอน เพราะก่อนพวกเราจะเกิดมา มันก็มีปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่ส่งผลต่อชีวิตและความเป็นอยู่เหมือนในขณะนี้
เปิดฉากใหม่มาที่คาร์บอนไดออกไซด์อีกที ส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างปัญหา "โลกร้อน" นั้น ถูกปล่อยออกมาจากท่อไอเสียของรถยนต์ เชื้อเพลิงธรรมชาติที่อยู่ใต้ดิน ประกอบด้วยคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นหลัก เมื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศในรูปของการเผาไหม้ คาร์บอนในเชื้อเพลิงจะจับคู่กับออกซิเจนในอากาศ กลายเป็นแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนไฮโดรเจนก็จับคู่กับออกซิเจนเป็นน้ำหรือไอน้ำ นอกนั้นเป็นแกสอื่นปลีกย่อยและเขม่า
ในเมื่อมันเป็นผลพวงของการเผาไหม้ระหว่างเชื้อเพลิงกับออกซิเจน ย่อมหมายความว่าเรา ทำให้มันไม่เกิดไม่ได้ครับ ถ้าจะลดจำนวนหรือปริมาณของมันในไอเสียก็มีทางเดียว คือ ลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ ตรงนี้ต้องถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราครับ เพราะกฎหมายควบคุมปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียของรถ ต่อระยะทาง ซึ่งนิยมในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร ช่วยประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิงจากกระเป๋าของเราโดยตรง แม้ว่าจะเป็นผลพลอยได้ทางอ้อมจากกฎหมายลดสภาวะโลกร้อนในระดับสากลก็ตาม เพราะไม่มีวิธีลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียอื่น นอกจากลดปริมาณเชื้อเพลิงที่เครื่องยนต์ใช้
ส่วนวิธีลดนั้นก็แตกต่างกันไป ตามความถนัดและความเชื่อของผู้ผลิตแต่ละราย ลองมา
ดูตัวอย่างจากผลงานล่าสุดของบรรดาผู้ผลิตรถกันครับ
แบบแรก คือ ระบบไฮบริด ที่กำลังเป็นของใหม่สำหรับผู้ใช้รถ โดยใช้ทั้งเครื่องยนต์และ
มอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีแบทเตอรีชุดใหญ่ไว้สะสมพลังงานไฟฟ้า วิธีประหยัดพลังงานของระบบนี้
คือการสะสมพลังงานขณะลดความเร็วหรือเบรค แทนที่จะให้เสียไปในรูปของความร้อนที่
จานเบรค เราเอาพลังงานส่วนนี้ไปหมุนเครื่องปั่นไฟ ซึ่งก็คือมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อนรถนี่แหละครับ
ออกแบบให้ทำหน้าที่เครื่องปั่นไฟได้ด้วย เอาเครื่องปั่นไฟไปช่วยเบรคล้อ พร้อมกับได้พลังงาน
ไฟฟ้าเป็นของแถม เอาไปเก็บไว้ในแบทเตอรี แล้วเอามาใช้ใหม่ตอนออกรถ โดยให้แบทเตอรี
จ่ายไฟฟ้าให้มอเตอร์ (ลูกเดียวกับที่ทำหน้าที่ปั่นไฟตอนเบรค) แทนที่จะใช้เครื่องยนต์ จนกระทั่ง
ประจุไฟฟ้าในแบทเตอรีเหลือน้อย หรือความเร็วของรถเพิ่มจนต้องใช้กำลังเกินกว่าที่มอเตอร์
ให้ได้ เครื่องยนต์จึงถูกสตาร์ทเพื่อมาช่วยเสริมกำลัง
ทุกอย่างที่ว่านี้ปราศจากเสียงหรืออาการกระตุกกระชากใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ขับจะรู้ว่าระบบขับ
เคลื่อนทำงานแบบไหนอยู่ จากการมองที่จอบริเวณแผงหน้าปัดเท่านั้น ผู้ผลิตหลายรายที่ไม่
ค่อยเชื่อถือประสิทธิภาพของระบบนี้ เริ่มเห็นคุณค่าหลังจากได้เห็นรายงานการทดสอบบรรดา
รถไฮบริดของ โตโยตา หรือไม่ก็ให้พนักงานซื้อแล้วแอบไปทดสอบ
ซึ่งทุกโรงงานก็ทำกันแบบนี้ เป็นสิทธิโดยชอบธรรมครับ ไม่ถือเป็นการโจรกรรม เพราะหาข้อมูล
จากผลิตภัณฑ์ที่มีขายในท้องตลาดเท่านั้น โรงงานผลิตรถสปอร์ทอย่าง โพร์เช ก็ยังเห็น
ประโยชน์จากระบบไฮบริด ที่น่าจะช่วยให้รุ่น กาเยนน์ (CAYENNE) ประหยัดเชื้อเพลิงได้
หลายสิบเปอร์เซนต์ โรงงานหวังไว้ว่า รุ่นไฮบริดที่จะขายในอีกสองปีข้างหน้า น่าจะประหยัด
เชื้อเพลิงได้ถึง 25%
เอาดี ก็กำลังใช้ระบบนี้กับรุ่น คิว 7 เช่นเดียวกัน เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบ วี-6 สูบ 3,600 ซีซี ส่วน
มอเตอร์ไฟฟ้า ใช้ขนาด 34 กิโลวัตต์ หรือ 46 แรงม้า อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาแค่
7.6 วินาที ดีกว่ารุ่นใช้เครื่องยนต์ล้วนประมาณ 1 วินาที ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่วัดได้
ก็น้อยกว่ารุ่นใช้เครื่องยนต์ถึง 22 % ดูค่านี้แล้ว จะเห็นว่าตัวเลข 25 % ของ โพร์เช ไม่ได้เกิน
ความจริงเลย
เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ระบบไฮบริดที่ใช้กับรถประเภทนี้ ช่วยลดปริมาณคาร์บอนได
ออกไซด์ในไอเสียได้ประมาณ 25 % ซึ่งถือว่าได้ผลดีมาก ศักยภาพของระบบไฮบริดส่วนหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแบทเตอรี ซึ่งปัจจุบันใช้แบบ นิคเกิล-เมทัลไฮดไรด์ ที่ยังสามารถ
ถูกพัฒนาได้อีกมาก และจะดีกว่านี้ถ้าสามารถสู้ราคาแบทเตอรีแบบลิเธียม-อิออน ในการนำ
มาใช้กับรถไฮบริดได้
นอกจาก เมร์เซเดส-เบนซ์ ฟอร์ด และ โอเพล แล้ว เอาดี ก็เป็นอีกรายหนึ่ง ที่ผลิตรถใช้แกส
ธรรมชาติออกขายให้แก่ลูกค้า โดยไม่ต้องดัดแปลงทีหลัง เฉพาะในคอลัมน์นี้ เราจะไม่มอง
ว่าการใช้แกสธรรมชาติ ช่วยลดการใช้เบนซิน หรือลดค่าเชื้อเพลิงนะครับ แต่เป็นการใช้เพื่อ
ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย เพราะในแกสธรรมชาติมีคาร์บอนน้อยกว่าในเบนซิน
เมื่อเทียบในสัดส่วนพลังงานความร้อนเท่ากัน
เพราะฉะนั้นการใช้แกสธรรมชาติ จึงลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราวๆ ร้อยละ 20 เมื่อ
เทียบกับตอนใช้เบนซิน และจะดีกว่านี้อีก ถ้าใช้แกสชีวภาพ หรือ BIOGAS ที่ได้จากการแปร
รูปเศษไม้หรือส่วนอื่นใดของพืชก็ตาม เพราะถ้ามองภาพรวมก่อนที่จะมาเป็นใบไม้หรือเนื้อไม้
ให้เราแปลงเป็นแกสชีวภาพ ต้นไม้เหล่านี้ได้ดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเข้าไว้ในตัว
ของมันแล้ว การนำมันมาใช้เป็นเชื้อเพลิง จึงเป็นเพียงการหมุนเวียน ที่ไม่ได้ทำให้ปริมาณแกส
คาร์บอนไดออกไซด์บนโลกเพิ่มขึ้น เหมือนการใช้เชื้อเพลิงจากใต้ดิน
และถ้ามองในมุมเดียวกันนี้ การใช้เอธานอล หรือเอธิลแอลกอฮอล์ ที่เป็นส่วนผสม 1 ใน 10
ของแกสโซฮอล ก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน
ข้ามฟากไปดูโรงงานรถยนต์ในสหรัฐอเมริกากันบ้าง ฝันร้ายจากการใช้รถเก๋งดีเซลผลิตในสหรัฐ ฯ
แบบ "มือไม่ถึง" เมื่อ 30 ปีก่อน ทำให้ผู้ใช้รถในประเทศนี้ ทั้งผู้ที่สูงอายุมีประสบการณ์เอง และ
อายุยังไม่มาก แต่ได้ฟังคำบอกเล่าต่อกันมา ล้วนมีอคติต่อรถเก๋งดีเซล แบบซึมลึกจนแก้ไขได้ยาก
นี่คือเหตุที่ทำให้ รถไฮบริดของ โตโยตา ขายดิบขายดีในประเทศนี้ บริษัทไดมเลร์ ฯ (ไม่มี
ไครสเลอร์แล้ว) กำลังพยายามแก้ภาพพจน์ให้ดีขึ้น ด้วยการตั้งชื่อให้ฟังแล้วสะอาดสดชื่นว่า
BLUETEC ส่วน เอาดี เลือกชื่อ ADBLUE ในการทำให้ชาวสหรัฐ ฯ หายกลัวเครื่องดีเซล
เจเนอรัล มอเตอร์ส ไม่ขอเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้เป็นครั้งที่สอง เพราะรีบผลิต เชฟโรเลต์ รุ่น ตาโฮ
และ ยู คอน แบบไฮบริด ออกมาขอแบ่งลูกค้าคืนจากฝ่ายญี่ปุ่นอย่างเร่งด่วน
แต่ที่ผมชอบและรออยู่นานแล้ว ว่าเมื่อไหร่จะมีใครผลิตออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีก็คือ รถเก๋ง
ไฮบริดแบบที่ใช้ไฟฟ้าล้วนได้เป็นระยะทางพอสมควร สำหรับใช้ในเมืองต่อการอัดแบทเตอรี
1 ครั้ง ส่วนเครื่องยนต์มีไว้ใช้ยามจำเป็น เช่น เมื่อขับจนประจุในแบทเตอรีเกือบหมด
ตอนนี้ใกล้ความจริงแล้ว เพราะ โอเพล กำลังทดลองและพัฒนาอยู่ ในชื่อรุ่น อี-ฟเลกซ์
(E-FLEX) ขับได้ไกลประมาณ 60 กม. ต่อการอัดไฟ 1 ครั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งาน
ในเมือง ตอนกลางคืนก็อัดไฟจากปลั๊กที่บ้าน ในราคาถูกกว่าเบนซินหลายเท่า ส่วน
เครื่องยนต์ใช้ขนาด 1,300 ซีซี แบบดีเซล โอเพล แจ้งว่า กว่าจะพร้อมผลิตออกจำหน่าย
ก็อีก 2 ถึง 4 ปี ครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77198