รู้ลึกเรื่องรถ
ไฟไหม้รถ อันตรายเพราะความอยากสบาย !
ผมเห็นจำนวนไฟไหม้รถ จากสถิติที่รวบรวมไว้ในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะจำนวนรถที่เพิ่มขึ้น เพราะเขาเทียบเป็นสัดส่วนเพื่อความยุติธรรม โดยเอากรณีที่เกิดไฟไหม้หารด้วยจำนวนรถทั้งหมดแล้วที่กล่าวถึงนี้ ไม่นับจำนวนรถที่ไฟไหม้หลังจากชนหรือเกิดอุบัติเหตุนะครับ แต่เป็นการเกิดไฟไหม้ขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นขณะที่ขับอยู่ หรือจอดไว้เฉยๆ ก็ตาม
ลองดูตัวอย่างจากสถิติที่รวบรวมจากสำนักงานวิเคราะห์สาเหตุเพลิงไหม้ของรถแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมนีกันครับ 30 % (เช่น 30 คัน จากจำนวนรถที่ไฟไหม้ 100 คัน) มีสาเหตุจากการรั่วของของเหลวไม่จำเป็นต้องเป็นเชื้อเพลิงครับ อาจเป็นการรั่วของน้ำมันหล่อลื่น เช่น น้ำมันเกียร์ หรือ น้ำมันเครื่องแล้วถูกความร้อนจากท่อไอเสียส่วนที่ร้อนจัด (เช่น ส่วนที่อยู่ใกล้ฝาสูบ) จนลุกไหม้ขึ้น
รองลงมาเป็นสาเหตุจากอุปกรณ์ไฟฟ้า มีสัดส่วนสูงถึง 24 % กรณีที่สามเป็นการก่อให้เกิดเพลิงไหม้
โดยผู้ใช้รถ มีสัดส่วนสูงถึง 23 % นับรวมกันทั้งที่ก่อให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท เช่น ทิ้งก้นบุหรี่ และที่เจตนาเผารถโดยตรง เพื่อพรางให้เป็นอุบัติเหตุ แล้วเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ร้อยละ 8 เกิดจากความบกพร่องของท่อไอเสีย ร้อยละ10 เกิดจากการชำรุดของอุปกรณ์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ไฟฟ้า และอีกร้อยละ 5 จากการลุกไหม้ของชิ้นส่วนที่เป็นฉนวนกันความร้อนหรือกันเสียง ที่มักจะเป็นเชื้อเพลิงที่ลุกไหม้ได้ดีพอสมควร
สำหรับในตอนนี้ เราสนใจเฉพาะสัดส่วนร้อยละ 24 ที่เป็นเพลิงไหม้จากอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น ถ้ามองอย่างให้ความยุติธรรมเราคงต้องบอกว่า สถิติที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ไม่ได้มาจากคุณภาพของรถที่ลดลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพวกเรามีอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถเพิ่มขึ้นอย่างมากจริงๆ
ผมไม่มีตัวเลขสำหรับใช้เปรียบเทียบ แต่จากความรู้สึกและประสบการณ์ "จุดอ่อน" ที่เสี่ยงต่อการเกิด
เพลิงไหม้ของอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า หรืออาจจะร้อยเท่า เพราะอุปกรณ์บางอย่างที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มีขั้วไฟฟ้าแผงวงจร ชิ้นส่วนปลีกย่อยที่เป็นจุดที่เสี่ยงต่อการเป็นต้นเพลิงเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นสิบๆ จุดครับ สาเหตุหลักมีอยู่สามอย่างด้วยกัน
สาเหตุแรก คือ ความบกพร่องของหน้าสัมผัสที่กระแสไฟฟ้าต้องไหลผ่าน เช่น รอยบัดกรีหลวมหรือร้าว หน้าสัมผัสของขั้วไฟฟ้ามีพื้นที่ลดลง เช่น ความชื้นหรือน้ำเข้าถึงแล้วเกิดการกัดกร่อน ของพื้นที่สัมผัสที่กระแสไฟฟ้าต้องไหลผ่านลดลง ความต้านทานก็เพิ่มสูงขึ้นมาก จึงเกิดความร้อนสูงขึ้นบริเวณนี้ และถ้าสูงถึงจุดลุกไหม้ของแผงวงจร หรือเปลือกหัวเสียบ ซึ่งล้วนทำจากวัสดุที่ติดไฟได้ ก็จะกลายเป็นต้นเพลิงได้ทันที อุปกรณ์ที่เข้าข่ายนี้ก็มีไม่น้อย เช่น ระบบกันขโมย พัดลมไฟฟ้าระบายความร้อน คอนเดนเซอร์ของระบบปรับอากาศ แผงวงจรควบคุมอุณหภูมิห้องโดยสารของระบบปรับอากาศ
สาเหตุที่สอง คือ การลัดวงจรของกระแสไฟฟ้า เช่น ฉนวนหุ้มสายไฟกรอบเปราะ แล้วหักหรืออ้าจนสายไฟมีตำแหน่งเปลือย หรือไม่ก็ถูกชิ้นส่วนที่เป็นกลไกของระบบต่างๆ เช่น สปริงดึงคันเบรคมือกลับ เสียดสีจนสึกถึงเส้นโลหะ ไฟฟ้าจะไหลลัดวงจรด้วยกระแสที่สูงมาก เกิดความร้อนที่เส้นโลหะระดับหลายร้อยองศาเซลเซียส หลอมละลายเปลือกสายไฟก่อนที่จะลุกไหม้ขึ้น ส่วนใหญ่พอฉนวนหุ้มสายไฟลุกไหม้แล้ว ก็จะลามไปถึงพวกฉนวนกันเสียงและกันความร้อนที่อยู่ใกล้ๆ และล้วนเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จนลุกลามสร้างความเสียหายอย่างหนัก
สาเหตุที่สามเป็นการชำรุดของอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยตรง เช่น แบริงของพัดลมไฟฟ้าชำรุดจนหมุนไม่ได้และเกิดความร้อนสูงที่มอเตอร์จนลุกไหม้ขึ้น หรือเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ทไม่ถอยกลับทำให้มอเตอร์สตาร์ทหมุนไปพร้อมกับเครื่องยนต์ตลอดเวลาด้วยความเร็วสูงกว่าหลายสิบเท่าเกิดการเสียดสีของแบริงจนร้อนจัดและลุกไหม้ขึ้นในที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์สาเหตุเพลิงไหม้รถรายหนึ่งในต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่าระยะหลังนี้พบต้นเพลิงที่มาจากโคมไฟหน้าของรถบ่อยขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุมาจากการใช้พลาสติคแทนโลหะหรือแก้วในสมัยก่อน แล้วหลอดไฟก็เป็นหลอดฮาโลเจน ซึ่งเปลือกหลอดร้อนจัดมาก โคมไฟของรถบางรุ่นสั่นสะเทือนด้วยความถี่พอเหมาะ ในการทำให้หลอดไฟค่อยๆ คลอนจนขั้วหลุดจากหัวเสียบ แล้วหล่นลงมาสัมผัสกับโคมพลาสติคซึ่งติดไฟได้ในทันที
ไม่ว่าต้นเพลิงจะเกิดจากที่ใดก็ตามในรถ ถ้าพิสูจน์ได้แน่ชัดว่า ไม่ได้เกิดจากการวางเพลิงหรือจากความประมาทมักง่ายของผู้ขับหรือผู้ใช้รถแล้วละก็ ไม่เป็นประเด็นให้ต้องถกเถียงกันครับถือว่าเป็นความบกพร่องของผู้ผลิตล้วนๆ ที่จะต้องชดใช้ให้แก่ลูกค้า โรงงานรถยนต์ในต่างประเทศจึงระวังกันมาก เมื่อใดที่พบจุดที่มีความเสี่ยง ก็จะเรียกรถกลับมาแก้ไข เพราะถ้าเกิดเพลิงไหม้แบบที่มีผู้เสียชีวิตด้วย มีหวังถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายระดับหลายร้อย หรือเป็นพันล้านแน่
สำหรับของไทยเรายังใช้ความอ่อนแอของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค อยู่กันอย่างสบายไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีการเรียกรถกลับมาแก้ไขอย่างเป็นทางการเลย ทั้งๆ ที่พวกเราก็รู้กันอยู่ว่า ไม่มีใครสร้างรถได้สมบูรณ์แบบปราศจากข้อบกพร่อง คงต้องรอให้มีลูกหลานหรือเครือญาติผู้มีอำนาจ ตายเพราะเหตุเหล่านี้ และเป็นข่าวพาดหัวหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ก่อนครับ
เรื่องโดย : เจษฎา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/58392