รู้ลึกเรื่องรถ
รถรวมสัญชาติ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะจอดรอสัญญาณไฟที่สี่แยกแห่งหนึ่งในกทม. ผมเห็นรถ เมร์เซเดส-เบนซ์เอส-คลาสส์ คันหนึ่งขับผ่านหน้าไป มีสิ่งที่สะดุดตาผมอย่างหนึ่ง คือ รถคันนั้นมีแผ่นไวนิลคลุมอยู่หลายส่วนของตัวรถ บนแผ่นเหล่านี้มีข้อความระบายความคับแค้นใจของเจ้าของรถ ผมไม่มีเวลาอ่านให้ทันทั้งหมด แต่จับใจความได้ว่า ศูนย์บริการแก้ปัญหาของรถไม่ได้ กับมีการใช้อะไหล่ญี่ปุ่นกับรถสัญชาติเยอรมันคันนี้
เรื่องศูนย์บริการแก้ปัญหาของรถไม่ได้นี้ เป็นปัญหาคู่วงการซ่อมรถของพวกเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้วผมขอแยกประเภทของสาเหตุที่เกิดปัญหา ออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ อย่างแรกมีสาเหตุจากความบกพร่องของการออกแบบ การใช้วัสดุคุณภาพต่ำ หรือไม่ก็เป็นความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งในกระบวนการผลิตชิ้นส่วน ไม่ว่าโรงงานผลิตรถยนต์จะผลิตเอง หรือจะซื้อมาจากผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เรียกทับศัพท์กันว่าซัพพลายเออร์ก็ตาม ความบกพร่องจากสาเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทันทีตั้งแต่รถยังใหม่เอี่ยม หรือใช้ไปได้ไม่นาน ไม่ต้องรอให้เกิดความสึกหรอ หรือการเสื่อมสภาพจากระยะเวลาที่ถูกใช้งาน
ถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย รวมทั้งศูนย์บริการ จะต้องรู้สาเหตุหลังจากรถรุ่นนั้นออกจำหน่ายไปไม่นาน และจะต้องรีบแก้ไขตั้งแต่กระบวนการผลิต และทดสอบ ถ้ายังไม่สามารถแก้ได้ ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ลูกค้า ด้วยความซื่อตรงเปิดเผย ไม่ใช่ใช้วิธีหลอกลวงเสมือนลูกค้าโง่เง่า จะบอกอะไรก็ได้ตามแต่จะคิดได้ ลูกค้าส่วนใหญ่โดยเฉพาะชาวไทยซึ่งมีนิสัยให้อภัยได้ง่าย มักยอมรับการประนีประนอมโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม และที่ได้รับฟังจากผู้ใช้รถจำนวนมาก ศูนย์บริการมักใช้วิธีปกปิด บ่ายเบี่ยง หรือไม่ก็ถึงขั้นปัดสวะ
พฤติกรรมเหล่านี้นี่แหละครับ ที่สร้างความเคียดแค้นของลูกค้า ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ก็จะแตกต่างกันไป มีตั้งแต่หาที่ซ่อมแห่งใหม่ รีบบอกต่อแก่ผู้ที่ใกล้ชิดและคนรู้จัก ว่าอย่าไปซื้อรถตรานี้เป็นอันขาด ไปจนถึงแบบรุนแรง คือ ดำเนินการป่าวประกาศ ประจานให้หายแค้น และขั้นหนักสุดก็คือ การร้องเรียนต่อหน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค หรือไม่ก็ฟ้องร้องทางแพ่งต่อศาล เขียนตกไปอย่างหนึ่งครับ บางรายที่ฐานะดีมาก และถือความรู้สึกเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้นขายรถตรานั้นทิ้งทันทีก็มี โดยไม่สนใจว่าจะ "ขาดทุน" กี่แสน หรือกี่ล้าน วิธีนี้ผมไม่สนับสนุนให้ทำครับเพราะไม่ได้รับความยุติธรรม ฝ่ายผิดกลับเป็นฝ่ายสบาย
ปัญหาทำนองนี้ ถ้าสืบสาวราวเรื่องย้อนไปหาสาเหตุ ที่ทำให้ลูกค้าคับแค้นสุดขีด มักมาจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจด้านเทคนิค แล้วเสริมด้วยความไม่รับผิดชอบของฝ่ายซ่อม และให้บริการช่างจำนวนมากนอกจากไม่มีความรู้ด้านเทคนิคพอแล้ว ยังขาดความคิดด้านตรรกะด้วย
เช่นเมื่อสงสัยว่าอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งจะเป็นสาเหตุของปัญหา แทนที่จะถอดจากรถรุ่นเดียวกันมาทดลองให้แน่ใจ กลับเบิกหรือซื้อมาเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มักคืนไม่ได้ เมื่อไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงก็เริ่มโมเมว่าเสียพอดี หรือเริ่มเสื่อมแล้ว ให้ลูกค้าเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุ
บางรายจับไปจับมา โยกโน่นเขย่านี่แล้วบังเอิญหาย ก็ส่งรถให้ลูกค้ากลับไปใช้ บอกว่าซ่อมเสร็จแล้ว โดยไม่ได้หาสาเหตุที่แท้จริง แน่นอนครับว่าปัญหาเดิมมันจะต้องเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นวันรุ่งขึ้น หรืออีกไม่กี่วันในไม่ช้าก็ตาม
แต่ที่เลวร้ายที่สุด และผมได้รับการบอกเล่าบ่อยมาก ก็คือ การส่งรถให้ลูกค้าทั้งๆ ที่ปัญหาเดิมยังอยู่ ไม่ต่างจากตอนลูกค้านำมาส่ง บางรายมารับรถหลังเลิกงานในสภาพเหน็ดเหนื่อย เสียเงินไปไม่น้อย พอขับพ้นอู่ก็มีอาการเหมือนตอนนำมาส่งทุกประการ จะวนกลับไปใหม่อู่ก็ปิดแล้ว ถ้ายังทันก็หมายความว่า รุ่งขึ้นจะไม่มีรถขับเองไปทำงาน มันเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ระบบของศูนย์บริการ จะต้อง
กำหนดให้มีพนักงานตรวจสอบและขับทดสอบ ว่ารถที่จะส่งมอบให้ลูกค้าหมดปัญหาแล้ว
ปัญหาจุกจิกของรถใหม่อายุยังไม่มาก อาจไม่ใช่ปัญหาคุณภาพของรถ แต่เป็นปัญหาของผู้ให้บริการ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน ส่วนความไม่พอใจที่อู่ซ่อม (หรืออาจจะเป็นศูนย์บริการก็ได้ครับ สำหรับรายนี้ เพราะผมอ่านไม่ทัน) เอาอะไหล่มาใช้กับรถสัญชาติเยอรมันนั้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของเจ้าของรถ เพราะแม้แต่รถเยอรมนีที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศของเขา ก็ใช้ชิ้นส่วนของญี่ปุ่นมากว่า 20 ปีแล้วครับ
เริ่มแรกก็เป็นพวกตลับลูกปืนล้อ แล้วก็มาถึงอุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ จนกระทั่งถึงเกียร์อัตโนมัติทั้งชุด พวกเราต้องปรับความคิดและความเชื่อกันใหม่ ของญี่ปุ่นที่ราคาถูกอย่างเดียว แต่คุณภาพไม่ถึงขั้นมาตรฐานนั้น อยู่ในยุค 30 ถึง 40 ปีก่อนครับ มาถึงวันนี้ของญี่ปุ่นมีคุณภาพระดับสูงสุดของโลก ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทำให้ดีแค่ไหนเท่านั้นเอง เพราะมันมีความสัมพันธ์กันโดยตรง ระหว่างคุณภาพกับต้นทุนในการผลิต แล้วยังมีความแตกต่างกันด้านความคิดด้วย ในขณะที่ "ฝรั่ง" พยายามผลิตของให้คุณภาพสูง ในอัตราผลกำไรที่ต้องการตามที่ตั้งเอาไว้ ดูเหมือนว่าญี่ปุ่นจะผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพตามที่ตั้งเอาไว้ แล้วพยายามเพิ่มกำไรให้มากที่สุด
แล้วยังขึ้นอยู่กับว่า สินค้านั้นจะถูกขายให้แก่ใครด้วยครับ สินค้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่ผลิตขายในประเทศ ให้คนญี่ปุ่นใช้เอง จึงเป็นสินค้าคุณภาพสูงเช่นเดียวกับสินค้าที่ต้องขายแข่งกับผลิตภัณฑ์ของประเทศอุตสาหกรรม อย่างประเทศในยุโรป ถ้าขายให้ประชาชนในประเทศอย่างเรา ที่ยังแยกแยะระดับคุณภาพไม่ค่อยออก เขาก็จะลดระดับคุณภาพลงเหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มกำไรไงครับ
แต่ก็มีข้อยกเว้นนะครับ เมื่อใดที่ญี่ปุ่นต้องแข่งขันกันเอง แล้วผู้บริโภคที่แม้จะอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา สามารถแยกแยะระดับคุณภาพของสินค้านั้นได้ โดยไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษหรือความรู้จากการศึกษาแล้วละก็ ญี่ปุ่นก็จะพัฒนาคุณภาพกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อแย่งชิงลูกค้าหรือส่วนแบ่งในตลาด เช่น รถจักรยานยนต์ที่กลุ่มลูกค้าก็ไม่ได้มีความรู้สูง หรือพิถีพิถันมากนักต่อรายละเอียดของสินค้า แต่รับรองว่าบรรดาผู้ผลิตทั้ง 3 รายของญี่ปุ่นในตลาดไทย (บางคนอาจจะอยากนับรายที่ 4 ด้วยก็ได้ครับ แต่ตอนหลังนี้มีบทบาทน้อยมาก) ต้องพัฒนาคุณภาพของเครื่องยนต์กันอย่างสุดฝีมือ ในหัวข้อสำคัญ 3 ข้อด้วยกัน คือ ทนทาน ให้กำลังสูง
และกินน้ำมันน้อย
เพราะแม้แต่ลูกค้าที่ไม่มีความละเอียด ไม่มีความรู้ ก็เห็นความแตกต่างได้ในเวลาไม่นานจากการใช้งาน เจ้าเครื่องยนต์จิ๋วสูบเดียว 100 กว่าซีซีพวกนี้ จึงมีอายุการใช้งานสูงมาก ถ้าดูและถูกต้องตามปกติ ใช้ไป 1 แสนกิโลเมตร เครื่องยนต์จะยัง "แน่น" สบายครับ ซึ่งกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ ต้องมีการวิจัย ทดลอง ทดสอบกันขนาดหนัก ด้วยเงินทุนที่สูง ใครที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก และกำลังพยายามเอารถราคาถูกจากบางแห่งมาสู้ อย่าลืมมองปัญหานี้ให้ชัดเจนก่อนนะครับ มันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่มองเห็นผิวเผิน เพราะถ้าประเมินผิดอาจถึงขั้นหมดตัวได้
อีกตัวอย่างที่ช่วยให้เห็นภาพได้ชัด คือ เครื่องปรับอากาศครับ ลูกค้าที่ใช้ จะรู้ความแตกต่างของคุณภาพได้โดยไม่ต้องมีความรู้พิเศษ หรือความละเอียดลออแต่อย่างใด เครื่องปรับอากาศคุณภาพสูง จะต้องเงียบทั้งชุดในอาคารและชุดนอกอาคารต้อง ทำความเย็นได้ดี ต้องประหยัดไฟฟ้าและต้องมีความทนทานด้วย
ใครที่ใช้ไปสักพัก ก็จะรับรู้ระดับคุณภาพ 3 หัวข้อได้ในเวลาไม่นาน ส่วนข้อสุดท้าย คือ ความทนทาน อาจได้รับฟังจากผู้เคยใช้อยู่ก่อน เครื่องปรับอากาศสัญชาติญี่ปุ่นแต่ละตรา จึงพัฒนาคุณภาพกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยต้นทุนวิจัยและพัฒนามหาศาล จนไม่มีเครื่องปรับอากาศสัญชาติใด หรือลูกผสมใดจะตามทันครับ ยกเว้น 2 รายจากเกาหลี
เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะซื้อรถเยอรมันสักคัน ผมก็อยากให้มันมีการเกาะถนนทรงตัวแบบเยอรมัน มีวัสดุคุณภาพสูงแบบเยอรมัน มีการออกแบบห้องโดยสารที่ดูอบอุ่น สูงค่าแบบเยอรมัน แต่ขอให้ใช้อุปกรณ์ประกอบอื่นๆ ของญี่ปุ่น เยอะๆ ครับ เช่น ระบบหัวฉีด (ซึ่งญี่ปุ่นก็ซื้อลิขสิทธิ์จากเยอรมนีมาพัฒนานั่นเอง) ปั๊มเชื้อเพลิง อัลเทอร์เนเตอร์ ระบบปรับอากาศ และโดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ
ทั้งชุด ถ้าได้แบบนี้ผมจะพอใจและมั่นใจมาก เพราะญี่ปุ่นทำได้ดีเท่า หรือไม่ก็ดีกว่า แต่ที่สำคัญคือ ทนทาน และไว้วางใจได้มากกว่า
หมดยุคที่จะมาสนใจกันแล้วครับ ว่าสินค้า "ฝรั่ง" ใช้ชิ้นส่วนของฝรั่งทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าคุณภาพสูงพอ ก็เป็นอันว่าใช้ได้ ถ้าผมซื้อโทรศัพท์ชั้นยอดของโลกที่ผลิตในประเทศฟินแลนด์ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะหวังว่า จะต้องได้อุปกรณ์ชาร์จไฟที่ทำในฟินแลนด์ด้วย ถ้าจีนทำได้ดีพอ เขาก็ต้องไปจ้างจีนผลิตอยู่ดีครับ และผมก็พอใจด้วย เพราะถ้าเขาผลิตเอง ผมก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก โดยไม่ได้อะไรขึ้นมา
ถ้าจะประท้วง น่าจะเป็นการประท้วงว่า รถเยอรมันไม่ยอมใช้อะไหล่ญี่ปุ่นมากกว่า แต่ไปใช้ของจากแหล่งผลิตคุณภาพต่ำ อีกไม่นานก็จะมีคนประท้วงว่า รถญี่ปุ่นไม่ยอมใช้ชิ้นส่วนญี่ปุ่น จะผลิตที่ใดไม่สำคัญครับ หัวใจอยู่ที่การรับรองของเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้น ว่ามีคุณภาพสูงพอ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมคุณภาพให้เคร่งครัดจริงเท่านั้นเอง
เรื่องโดย : เจษฎา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/58090