รู้ไว้ใช่ว่า
ประกันเด้งเชือก !
สำหรับคดีนี้น่าสนใจไม่น้อย เป็นเรื่องของเทคนิคในการดำเนินคดี แล้วโจทก์ถึงกับหงายท้อง บี้บริษัทประกันซึ่งพอจะมีเงินจ่ายค่าเสียหายไม่ได้ แห้วก็แล้วกัน
"นายสมานฉันท์" ซึ่งแกเบื่อชื่อรำๆ จะไปเปลี่ยนใหม่อยู่รอมร่อ เพราะคนไทยชักจะกัดกันเก่งขึ้นแยะจนน่าเบื่อหน่าย ตัวแกก็มีเหตุ รถเก๋งราคาหลายตังค์ ได้รับความเสียหายจากรถกระบะซึ่งขับขี่โดย "นายบรรยากาศ"
เมื่อนายสมานฉันท์เรียกร้องค่าเสียหายจากใครไม่ได้ ตะแกจึงยื่นฟ้อง บริษัทประกันภัย ซึ่งเล็งว่าเป็นถุงเงินในฐานะจำเลยที่ 1 ฟ้อง "นายปากดี" เจ้าของรถ ซึ่งดูจากชื่อน่าจะไปเข้าแกงค์เป็นนักการเมืองไทย เพราะอาศัยปากอย่างเดียวเอาไว้กัดคนไปทั่วหัวหงอกหัวดำไม่เกี่ยงก็ได้ตำแหน่งแห่งหน เป็นจำเลยที่ 2 และฟ้องนายบรรยากาศ โชเฟอร์รถกระบะเป็นจำเลยที่ 3 ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยกว่า 6 แสนบาท น้อยอยู่หรือ
ในคำฟ้องนายสมานฉันท์บรรยายไว้ว่า นายบรรยากาศเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของนายปากดี กระทำละเมิดต่อนายสมานฉันท์ตามคำสั่งหรือได้รับมอบหมายจากนายปากดีผู้เป็นนายจ้างหรือตัวการหรือผู้ใช้วาน ยินยอม สั่ง และสมประโยชน์ในการที่นายบรรยากาศ ขับรถกระบะมาเฉี่ยวชนรถของตน
บริษัทประกันจำเลยที่ 1 ฟ้อนเงี้ยวสู้คดีเต็มที่ โต้ทุกประเด็น และให้การด้วยว่า นายบรรยากาศไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของนายปากดี
นายปากดีจำเลยที่ 2 สบายหน่อย เพราะนายสมานฉันท์นึกยังไงไม่รู้ ขอถอนฟ้องกลางคัน คงเห็นว่าเคี้ยวบริษัทประกันได้อยู่แล้ว ฐานะของนายปากดีก็ไม่เท่าไหร่ จึงวางมือจากนายปากดีเสีย
สำหรับนายบรรยากาศนั้นใส่เกียร์ถอยแต่แรก ไม่สู้คดีไม่ยื่นคำให้การ นอนให้เหยียบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้บริษัทประกันและนายบรรยากาศ ชดใช้เงินให้แก่นายสมานฉันท์ 4 แสนกว่าบาท นายสมานฉันท์พอใจที่ได้เยอะพอประมาณ ไม่ติดใจอะไรอีก
บริษัทประกันเขาไม่ถอยอยู่แล้วเรื่องค้าความ ยื่นอุทธรณ์ขึ้นไป อ้างว่าการนำสืบของโจทก์นั้นไม่ปรากฏว่านายบรรยากาศเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของนายสมานฉันท์ งานนี้นายสมานฉันท์จึงไม่ต้องรับผิด และส่งผลถึงบริษัทประกัน ลอยลำเช่นกัน
ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีตามสบายๆ ไม่มีใครมากดดัน แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับข้ออ้างของบริษัทประกันพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องบริษัทประกันเสีย
นายสมานฉันท์ตาเหลือก เพราะผ่านมาสองศาลไล่ต้อนได้คนเดียวคือ นายบรรยากาศคนขับรถกระบะซึ่งจนกรอบเป็นข้าวเกรียบว่าว ไม่มีทางที่จะหาเงินมาจ่ายค่าเสียหายแน่นอน ถ้าไล่บี้บริษัทประกันไม่ได้จึงลุ้นด้วยการยื่นฎีกา อ้างว่าพยานหลักฐานฟังได้ชัดเจนว่านายบรรยากาศเป็นลูกจ้างตัวแทนของนายสมานฉันท์ ซึ่งเป็นเจ้าของรถและทำประกันไว้กับจำเลยที่ 1 เพราะงั้นบริษัทประกันดิ้นไม่หลุดแน่นอน
ศาลฎีกาเหม่อมองดูคดีนี้โดยไม่หนักใจเหมือนศาลปกครองศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจอแต่งานหนักๆ ทั้งนั้นเมื่อศาลฎีกาพิจารณาแบบสบายๆ แล้วจึงชี้จนขาดออกมาว่า
นายสมานฉันท์ผู้เป็นโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ศาลเห็นอย่างจะๆ ว่า นายบรรยากาศเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนทำในทางการที่จ้างหรือที่มอบหมายจนเกิดเหตุขึ้น แต่งานนี้ฝ่ายโจทก์มีแต่ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความว่า บริษัทประกันเป็นผู้รับประกันรถของนายปากดี ในวันเกิดเหตุนายบรรยากาศขับรถของนายปากดีไปก่อเหตุขึ้นมา แค่นั้นเอง เท่านั้นเอง ไม่ได้ใจความเลยว่า ระหว่างนายสมานฉันท์กับ
นายบรรยากาศ มีความสัมพันธ์กันดังที่บรรยายในคำฟ้อง พยานอื่นก็ไม่ได้เบิกความถึงเรื่องนี้
จึงฟังไม่ได้ว่านายบรรยากาศเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของนายปากดี ไปทำละเมิดตามคำสั่งหรือที่ได้รับมอบหมายจากนายปากดี ซึ่งเป็นนายจ้างหรือตัวการ
งานนี้บริษัทประกัน ต้องรับผิด เมื่อนายปากดีร่วมรับผิดกับนายบรรยากาศ เมื่อนายสมานฉันท์นำสืบไม่สมตามฟ้อง การถอนฟ้องนายปากดีก็เพราะนายสมานฉันท์ไม่ประสงค์จะเอาผิดต่างหากเมื่อนายปากดีคนทำประกันไม่ต้องรับผิดต่อนายสมานฉันท์อย่างเห็นๆ บริษัทในฐานะผู้รับประกันภัยย่อมไม่ต้องรับผิดด้วย
การที่ศาลชั้นต้นตัดสินให้บริษัทประกันรับผิด โดยดูจากกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งมีข้อความระบุให้ต้องรับผิดในกรณีที่ผู้ขับขี่มิใช่คนซื้อประกัน เพียงแต่ได้รับความยินยอมจากคนซื้อประกัน ศาลฎีกาแทงว่าไม่ถูกต้องดอก เพราะนายสมานฉันท์ไม่ได้ตั้งฟ้องมาแบบนั้นสักหน่อย ถือว่าตัดสินนอกคำฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตาม ป. วิ. พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องบริษัทประกันนั้นถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เรื่องอย่างนี้ถือว่าทนายความแกบกพร่อง โดยสุจริตหรือไม่ไม่รู้ ตั้งฟ้องว่าคนขับรถกระบะเป็นลูกจ้างหรือตัวแทน แต่เวลานำสืบไม่เอ่ยอ้างถึงเลย บอกไปหน่อยเดียวว่าคนขับรถกระบะคือนายบรรยากาศไม่ได้ระบุว่าเป็นลูกจ้างหรือตัวแทน บริษัทประกันเลยตีปีก รอดตัวไปอย่างไม่น่าเชื่อ
จริงอยู่ในสัญญาประกันเขียนไว้ ให้มีผลถึงกรณีที่คนอื่นขับรถโดยความยินยอมของเจ้าของรถซื้อประกันซึ่งดูแล้วมัดคอบริษัทประกันได้ไม่ยาก แต่ศาลฎีกาฟันธงว่าไม่ได้ตั้งฟ้องมาแบบนั้น แต่อ้างว่าคนขับเป็นลูกจ้างหรือตัวแทน จึงตัดสินเอาผิดบริษัทประกันไม่ได้ในที่สุด
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7475/2547
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57289