เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
WORLD RALLY CHAMPIONSHIP 2004 สนาม 8
การแข่งขันรถยนต์ทางฝุ่นรายการ เวิร์ลด์ แรลลี แชมเพียนชิพ ประจำปี 2004 สนามที่ 8 นักแข่งต้องรับมือกับทางลูกรังที่ทั้งนิ่มและลื่น ขณะที่เส้นทางเป็นทางตรงยาว รถแข่งแต่ละคันสามารถใช้ความเร็วได้สูง นอกจากนี้สภาพอากาศในแถบเทือกเขาของอาร์เจนตินายังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความถ้าไม่ระวัง โอกาสที่จะเข้าเส้นชัยก็เหลือไม่มาก
หนึ่งในนักแข่งที่หมายมั่นปั้นมือที่จะมาคว้าแชมพ์ที่นี่มากที่สุดได้แก่ มาร์คโค มาร์ทิน (MARKKO MARTIN) นักขับสัญชาติเอสโตเนียน สังกัดทีม ฟอร์ด หลังจากที่สองสนามที่แล้วเขาต้องพลาดตำแหน่งแชมพ์ไปอย่างน่าเสียดาย และทำให้อันดับคะแนนสะสมประเภททีมผู้ผลิตของ ฟอร์ด ต้องตกลงมาอยู่อันดับสอง "ผลการแข่งขันเมื่อสองสนามที่แล้วน่าผิดหวังมาก มันจึงสำคัญมากที่สนามนี้ผมต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ผมและทีมกลับขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีเหมือนเดิม"
"ผมค่อนข้างชอบสนามนี้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากสามารถใช้ความเร็วได้สูงซึ่งมันเหมาะกับผมมากกว่า" เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวที่จุดเซอร์วิศ
ขณะที่คู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของ มาร์ทิน คงหนีไม่พ้น การ์โลส เซนซ์ (CARLOS SAINZ) นักขับทีม ซีตรอง ซึ่งเคยคว้าแชมพ์ที่สนามนี้เมื่อปี 2002 และพลาดโอกาสแชมพ์อีกครั้งเมื่อปีที่แล้วไปอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากถูกลงโทษปรับเวลา ส่งผลให้เขาได้เพียงตำแหน่งที่ 2 เท่านั้น
ออกสตาร์ทในสเตจแรกด้วยการขึ้นนำของ เพทเทร์ โซลเบร์ก (PETTER SOLBERG) ทีม ซูบารุ ที่สามารถทำเวลาแซงหน้า มาร์คุส โกรนโฮล์ม (MARCUS GRONHOLM) ไปอย่างเฉียดฉิว 0.3 วินาที ขณะที่ มาร์ทิน ยังทำได้แค่เพียงอันดับสาม ตามหลังผู้นำอยู่ 1.4 วินาที ด้าน เซนซ์ ตัวเก็งสนามนี้ประเดิมสเตจแรกได้เพียงอันดับ 4 เท่านั้น
แต่แล้วความหวังของ มาร์ทิน ก็ต้องจบลงเพียงแค่สเตจที่ 5 เมื่อเขาเร่งความเร็วรถ ฟอร์ด โฟคัส มากเกินไป จนหลุดโค้ง และพลิกคว่ำหลายตลบ ที่ความเร็วกว่า 170 กม./ชม. แต่ทั้งเขาและผู้นำทาง ไมเคิล พาร์ค (MICHAEL PARK) สามารถเดินออกจากซากรถได้อย่างปลอดภัย และถูกนำส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อเชคร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง
ขณะที่ โซลเบร์ก เป็นอีกคนที่โดนแรงกดดันจนขับผิดพลาดเองบ่อยครั้ง โดยในช่วงสเตจ 5 เขาทะยานรถ อิมพเรซา ลงแอ่งน้ำ ด้วยความเร็วสูงเกินไป จนทำให้เครื่องยนต์ขัดข้องจนเกือบใช้งานไม่ได้
"ผมพลาดเองที่เร่งความเร็วรถก่อนจะลงน้ำ ซึ่งมันทำให้ลูกสูบของเครื่องยนต์ 2 ใน 4 สูบ หยุดทำงาน ผมต้องหยุดรถนานกว่า 20 วินาที เพื่อให้น้ำไหลออกให้หมด โชคดีที่ประคองรถขึ้นมาจนได้" เขากล่าวสั้นๆ
แต่แล้วโชคดูเหมือนจะไม่เข้าข้างนักขับสัญชาติฟินแลนด์ เพราะเมื่อถัดมาอีก 4 สเตจ ทีมงาน ซูบารุ ต้องเผชิญข่าวร้าย เมื่อรถ ซูบารุ มีปัญหาอีกครั้ง คราวนี้หนักกว่าครั้งที่แล้ว เพราะเกิดไฟไหม้มาจากห้องเครื่องยนต์และลามจนเกือบถึงห้องโดยสาร ทำให้ต้องออกจากการแข่งขันทันที
ในเลกที่ 2 ตำแหน่งผู้นำมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอีกครั้ง เมื่อ โกรนโฮล์ม ประสบอุบัติเหตุในช่วงท้ายของสเตจที่ 19 ขณะที่กำลังทำเวลานำอันดับสอง เซนซ์ อยู่ 12 วินาที การออกจากการแข่งขันของ โกร์นโฮล์ม เท่ากับเปิดทางให้ เซนซ์ กลับขึ้นมานำอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนว่าโอกาสที่จะคว้าแชมพ์เป็นสมัยที่ 2 ของเขาอยู่แค่เอื้อม เนื่องจากทำเวลานำห่างอันดับสอง
เซบัสเตียง โลบ์ (SEBASTIEN LOEB) เพื่อนร่วมทีม อยู่ถึง 1 นาที 36.2 วินาที และยังทำเวลาดีที่สุดในอีก 2 สเตจถัดมา
ด้านอันดับสาม ได้แก่ ฟรองซัวส์ ดือวาล (FRANCOIS DUVAL) นักขับอีกคนของทีม ฟอร์ด ที่ทำเวลาตามหลัง โลบ์ 2 นาที 19.5 วินาที ขณะที่ความหวังสุดท้ายของทีม เปอโฌต์ เริ่มจะริบหรี่ลงไปทุกที เมื่อ ฮาร์ริ โรวันเปรา (HARRI ROVANPERA) นับขับอีกคนของทีม ฟอร์ด โชว์ผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยทำเวลาดีที่สุดเพียงแค่อันดับ 5 เท่านั้น และทำเวลาตามหลังผู้นำอยู่ถึง 10 นาที 37 วินาที
ในเลกสุดท้าย เซนซ์ เน้นการขับแบบระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากเวลาค่อนข้างทิ้งห่างอันดับสองพอสมควร ซึ่ง โลบ์ หวังที่จะใช้โอกาสนี้แซงหน้าขึ้นมาเป็นผู้นำให้ได้ โดยเขาทำเวลาดีที่สุดในสเตจแรก แต่มันก็ยังไม่ดีพอ เพราะเขาสามารถทำเวลาเข้าใกล้ เซนซ์ ได้เพิ่มอีกเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ขณะที่คนที่ทำเวลาเร็วที่สุดในวันสุดท้ายได้แก่ โรวันเปรา จากทีม เปอโฌต์ ซึ่งสามารถทำเวลาเร็วที่สุด 3 สเตจ จากทั้งหมด 5 เสตจ
จบการแข่งขัน เซนซ์ ควบรถ ซีตรอง ซารา เข้าเส้นชัยด้วยเวลารวมเป็นอันดับหนึ่งคว้าแชมพ์ในสนามนี้ไปครองด้วยเวลารวม 4 ชั่วโมง 8 นาที 56.3 วินาที ทิ้งห่างอันดับสอง โลบ์ เพื่อนร่วมทีม อยู่ถึง 1 นาที 33.5 วินาที ขณะที่อันดับสามเป็นของ ดือวาล ทำเวลารวม 4 ชั่วโมง 13 นาที 5.4 วินาที
หลังจากการขับเคี่ยวมาอย่างหนักกับ โกรนโฮล์ม ในช่วงต้นของการแข่งขัน เซนซ์ได้แสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบในเรื่องความแน่นอนและความทนทานของรถ ซีตรอง ซารา ที่สามารถเข้าเส้นชัยได้อย่างปลอดภัย คว้า 10 คะแนนเต็มให้กับทีม ซีตรอง
ส่วน มิตซูบิชิ เป็นอีกทีมที่ยังไม่ประสบความสำเร็จกับรถแข่งของตัวเองนับตั้งแต่เปิดฤดูกาล โดยสนามนี้รถ มิตซูบิชิ ที่ขับโดย กิลเลส ปานิซซี (GILLES PANIZZI) เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 9 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งผู้นำคะแนนสะสมประเภทผู้ขับยังคงเป็น โลบ์ ที่รับเพิ่มไปอีก 8 แต้ม ทำให้มีคะแนนรวม 61 แต้ม ทิ้งห่างอันดับสอง โซลเบร์ก ที่ชวดรับคะแนนในสนามนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ถึง 17 แต้ม ขณะที่อันดับสามยังคงที่โดยเป็นของ มาร์ทิน มี 34 แต้ม เท่ากับเซนซ์ ที่เพิ่งรับ 10 คะแนนเต็มไปหมาดๆ
ส่วนคะแนนสะสมประเภททีมผู้ผลิต ซีตรอง ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ตามคาด เนื่องจากรถทั้งสองคันของทีม เข้าเส้นชัยเป็นสองอันดับ แรก ส่งผลให้รับเพิ่มอีก 18 คะแนน รวมทั้งสิ้นเป็น 98 คะแนน ทิ้งห่างอันดับสอง ทีม ฟอร์ด ที่มีเพียง 71 คะแนนเท่านั้น อันดับสามเป็นของทีม ซูบารุ มี 64 คะแนน
[table]
สรุปผลคะแนนการแข่งขันรวม 8 สนาม ประเภทผู้ขับ
อันดับ, ผู้ขับ, คะแนนรวม
ชนะเลิศ, เซบัสเตียง โลบ์ ,61
รองอันดับ 1, เพทเทร์ โซลเบร์ก ,44
รองอันดับ 2, มาร์คโค มาร์ทิน ,34
สรุปผลคะแนนการแข่งขันรวม 8 สนาม ประเภททีมผู้ผลิต,,
อันดับ, ทีม, คะแนนรวม
ชนะเลิศ, ซีตรอง ,98
รองอันดับ 1, ฟอร์ด ,71
รองอันดับ 2, ซูบารุ ,64
[/table]
เรื่องโดย : สิทธิพงศ์ วิยาภรณ์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56675