ชีวิตอิสระ(4wheels)
ประจวบคีรีขันธ์
ประจวบคีรีขันธ์นอกจากจะขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติงดงาม ทั้งทะเลและภูเขา
และอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร จนเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแล้วยังเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ของวีรชนผู้กล้าที่เคยเสียสละชีพเพื่อรักษาผืนแผ่นดินไทยเอาไว้ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ที่นักท่องเที่ยวรุ่นหลังไม่ควรพลาดที่จะเรียนรู้และจดจำ
การเดินทางสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบันสามารถทำได้อย่างสะดวกสบายหลายวิธี ทั้งรถไฟ รถบัส แต่การเดินทางทริพนี้เราเลือกเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ออกจากกรุงเทพ ฯ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4(เพชรเกษม) มุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถึงกิโลเมตรที่ 256 เราได้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปากน้ำ
ปราณบุรีอีกประมาณ 4 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนรพช. ระยะทาง 31 กิโลเมตร เพื่อแวะเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เป็นที่แรกของการเดินทางทริพนี้
เขาสามร้อยยอดตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย ในท้องที่อำเภอกุยบุรี และกิ่งอำเภอสามร้อยยอดสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาหินสูงชัน ผสมกับที่ราบริมฝั่งทะเล ชายหาดเป็นหาดเลนและทรายชื่อเขาสามร้อยยอดมีความเป็นมาหลายกระแส บ้างว่าเป็นเพราะมีต้นสามร้อยยอดขึ้นอยู่แต่คนส่วนใหญ่กล่าวขานกันจนเป็นตำนานสืบกันมาว่าในสมัยเทือกเขายังเป็นเกาะอยู่ได้มีเรือสำเภาจีนแล่นผ่านมาประสบลมพายุรุนแรงจนใกล้อับปางจึงแวะหลบภัยเข้ามาตามร่องน้ำด้านทิศตะวันตกของเกาะ แต่เนื่องจากความไม่ชำนาญพื้นที่เรือได้ชนกับหินโสโครกอับปางลง ผู้คนจมน้ำตายจำนวนมาก ที่เหลือรอดตายขึ้นมาอาศัยอยู่บนเกาะประมาณ 300 คน จึงได้ตั้งชื่อว่าเกาะสามร้อยรอด ต่อมาระดับน้ำทะเลได้ลดลง กลายเป็นภูเขาชาวบ้านเรียกเพี้ยนเป็น "เขาสามร้อยยอด" ในเวลาต่อมา
เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด อิ่มอร่อยกันเรียบร้อยออกเดินทางต่อไปยังจุดชมวิวเขาแดง ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวอุทยาน ฯ เพียง 400 เมตร สามารถขับรถไปจอดได้บริเวณริมเขา แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปประมาณ 300 เมตร ที่นี่ทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน และคดเคี้ยวใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ไปถึงยอดเขาหินปูน จากที่นี่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเขาสามร้อยยอดได้รอบด้านทิวทัศน์ภูเขาสลับซับซ้อน และชายทะเลที่ทอดโค้งตัดกับแนวเส้นขอบฟ้ากว้างไกลสุดสายตา อีกทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบทะเลที่งดงามอีกด้วย
จากนั้นจุดหมายต่อไปของเราอยู่ที่ถ้ำไทร ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านคุ้งโตนด ห่างจากที่ทำการอุทยาน ฯ ประมาณ9 กิโลเมตร สามารถนำรถยนต์ไปจอดที่หมู่บ้านใกล้เชิงเขาแล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปอีกประมาณ 280 เมตรภายในถ้ำค่อนข้างมืดจึงต้องเช่าตะเกียงจากชาวบ้านละแวกนั้นก่อนขึ้นไปด้านบนทางขึ้นเป็นทางหินที่ค่อนข้างแหลมคม ประกอบกับโชคไม่ค่อยดีนักที่ตอนเราไปถึงมีฝนตกลงมาปรอยๆ
ทำให้ดินเปลี่ยนสภาพเป็นโคลนยิ่งเพิ่มความลื่นให้กับทางเดิน อย่างไรก็ตามเราสามารถขึ้นไปถึงปากถ้ำได้อย่างปลอดภัยทุกคนปากถ้ำไทรหันออกทะเล ทำให้มีลมพัดเย็นสบาย ภายในถ้ำมีห้องโถงขนาดใหญ่จุดที่น่าสนใจอยู่ลึกเข้าไปในตัวถ้ำ เพราะมีทั้งหินงอกหินย้อยเมื่อถูกแสงจากตะเกียงส่องเกิดเป็นแสงและเงาต่างๆ กัน
เขื่อนถ้ำไทร และอนุสาวรีย์ตาเอิบซึ่งเป็นผู้ค้นพบถ้ำนี้เป็นคนแรก
ลงจากถ้ำไทรเริ่มมืดแล้วได้เวลาที่ต้องขับรถเข้าตัวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางอีกประมาณ 160 กม. ก็จะถึงอ่าวประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวเมืองประจวบ ฯ มีความยาวประมาณ 8 กม. โดยเริ่มจาก เขาตาม่องลายด้านทิศเหนือ เป็นวงโค้งไปจรดเขาล้อมหมวกด้านทิศใต้ หน้าอ่าวมีเกาะรูปร่างแปลกตาอยู่หลายเกาะ ทำให้
ทิวทัศน์ดูสวยงาม ที่อ่าวนี้ยังสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าตรู่ ที่พระอาทิตย์จะค่อยๆ ขึ้นแทรกผ่านช่องว่างรอยซ้อนระหว่างเกาะต่างๆ เกิดเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้น เราขับรถลงไปทางทิศใต้อีกประมาณ 5 กม. เพื่อไปที่กองบิน 53 หรือที่รู้จักกันดีในชื่ออ่าวมะนาว ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจบริเวณชายหาด ที่มีเก้าอี้ชายหาด และร้านค้าร้านอาหารจำหน่ายในราคาไม่แพงไว้บริการนักท่องเที่ยวมากมาย นอกจากนี้ที่นี่ยังเคยเป็นยุทธภูมิในสมัย
สงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างกองทัพไทยและกองทัพญี่ปุ่น เหตุการณ์ที่มีทหารหาญมากมายต้องเสียสละชีพเพื่อรักษาผืนแผ่นดินเอาไว้ โดยทางกองบิน 53 ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์พร้อมระบบแสงสีเสียงสวยงามไว้บอกเล่าประวัติศาสตร์แก่ผู้ที่สนใจโดยไม่คิดค่าบริการ
ขากลับเราวิ่งออกจากอ่าวมะนาวโดยใช้ถนนสละชีพ อำเภอเมือง เพื่อมุ่งหน้าไปยังเขาช่องกระจก ซึ่งตั้งอยู่หลังศาลากลางจังหวัด เขาช่องกระจกเป็นภูเขาขนาดไม่ใหญ่นัก แต่สูงมาก มีลิงอาศัยอยู่บนเขาจำนวนมากทางขึ้นมีบันไดขึ้นไปจนถึงยอดเขา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธบาทจำลองด้านทิศเหนือของภูเขามีช่องโปร่งคล้ายกับกรอบของกระจก จากยอดเขาสามารถมองเห็นตัวเมืองและอ่าว
ประจวบ ฯ กว้างสุดลูกหูลูกตา
ก่อนกลับเราไม่พลาดที่จะแวะนมัสการหลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ถัดจากเชิงเขาช่องกระจกไม่กี่สิบเมตรองค์หลักเมืองและสิ่งก่อสร้างภายในส่วนใหญ่เป็นอิฐแกะสลักลวดลายได้บรรยากาศคล้ายเมืองโบราณส่วนยอดขององค์หลักเมืองแกะเป็น 4 พักตร์ 4 เศียร ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองประจวบ ฯสักการะเสร็จได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพ ฯ โดยใช้เส้นทางเดิม
ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ กองบิน 53 อ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กองบิน 53 ก่อตั้งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2465 โดย รอ. หลวงอมรศักดาวุธ และ รอ. กาพย์ ทัตตานนท์ มีชื่อในยุคก่อตั้งว่า "กองบินใหญ่ที่ 1" และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กองบิน 53" ในปัจจุบัน โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองพลบินที่ 4 กองบัญชาการยุทธทางอากาศ และได้รับนโยบายกองทัพอากาศให้ กองบิน 53เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ทหาร เพื่อบริการข้าราชการ และประชาชนทั่วไปนอกจากนี้กองทัพอากาศยังได้สร้างอนุสาวรีย์"วีรชน 8 ธันวาคม 84" บริเวณที่เกิดการสู้รบ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ กองบิน 53 ในปัจจุบันพร้อมบรรจุอัฐิและสลักชื่อวีรชนไว้เป็นอนุสรณ์
ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะกำลังโรมรันต่อสู้กันในภาคพื้นยุโรปอยู่นั้น
ญี่ปุ่นได้ถือโอกาสประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เปิดฉากรุกรานประเทศในแถบเอเชียและแปซิฟิค เช้าวันที่8 ธันวาคม 2484 ญี่ปุ่นปฏิบัติการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ กำลังทหารญี่ปุ่น เดินทางโดยเรือรบ ทอดสมอหลบอยู่หลังเขาล้อมหมวกเพื่อเตรียมยกพลขึ้นบกยึดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกองบินน้อยที่ 5 ครั้งเมื่อถึงเวลา04.00 น. เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือดถึงขั้นตะลุมบอน ทหารอากาศไทยแห่งกองบินน้อยที่ 5 ซึ่งมีกำลังเพียง127 คน ได้ต่อต้านการบุกโจมตีของข้าศึก แต่เนื่องจากฝ่ายเราเสียเปรียบฝ่ายข้าศึกในทุกๆ ด้าน จึงได้ถอยร่นมาจนถึงที่มั่นสุดท้ายบริเวณเชิงเขาล้อมหมวก จนกระทั่งเวลา 14.00 น. ของวันที่ 9 ธันวาคม 2484 จึงได้รับโทรเลขจากรัฐบาลไทยในขณะนั้น ให้ยุติการสู้รบและยินยอมให้ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศไทยได้
รวมระยะเวลาการสู้รบ 33 ชั่วโมง ภายหลังการสู้รบ ฝ่ายทหารญี่ปุ่นซึ่งมีกำลังมากกว่าถึง 10 เท่า เสียชีวิต 417 คนในขณะที่ฝ่ายไทยเสียชีวิต 41 คน ซึ่งประกอบด้วยทหารอากาศ 38 คน ยุวชนทหาร 1 คน และครอบครัว 2 คน
เรื่องโดย : สิทธิพงศ์ วิยาภรณ์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56411