เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
WORLD RALLY CHAMPIONSHIP สนาม 11
สนามซานเรโม (SANREMO)
ถือเป็นหนึ่งในสนามคลาสสิคที่ติดอันดับมีผู้เข้าชมมากที่สุดสนามหนึ่งของการ
แข่งขันเวิร์ลด์ แรลลี ด้วยความเก่าแก่ของสนามที่จัดการแข่งแรลลีมาแล้วกว่า 75 ปี
บวกกับเส้นทางการแข่งขัน
จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกปี เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วสนามยังเป็นทางลูกรังและกรวด จนตั้งแต่ปี 1997
เป็นต้นมาจึงเปลี่ยนเป็นทางราดยางเรียบลัดเลาะไปตามเทือกเขาแอลป์ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศอิตาลี
ที่มีทั้งโค้งแคบๆ และโค้งกว้างสลับกันไป โดยเส้นทางส่วนใหญ่นักแข่งสามารถใช้ความเร็วได้สูง
ฝีมือและการตัดสินใจที่ฉับไวจึงเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งสนามนี้
การแข่งขันสามครั้งหลังสุดที่นี่ กิลเลส ปานิซซี (GILLES PANIZZI)
นักขับสัญชาติฝรั่งเศสผู้ซึ่งมีครอบครัวอาศัยอยู่ในประเทศอิตาลีสามารถคว้าแชมพ์ได้ทั้งหมด
แต่ในปีนี้เขาจะต้องเจอกับผู้เข้าแข่งขันที่ลงทะเบียน
มากถึง 63 คัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เซบัสเตียง โลบ์ ( SEBASTIEN LOEB) คู่ปรับตัวฉกาจสัญชาติเดียวกัน
เนื่องจากทั้งคู่ถือเป็นนักขับหัวแถวที่มีฝีมือและความชำนาญในการขับบนทางราดยางเป็นพิเศษ
และมีผลงานที่คู่คี่สูสีกันมาตลอด
ปีนี้แบ่งการแข่งขันออกเป็น 14 สเตจ ระยะทางรวม 387.36 กิโลเมตร โดยสเตจที่ 7 และ 10
มีความยาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันแรลลี คือมีระยะทางถึง 52 กิโลเมตร
"ระยะทางยาวขนาดนี้การเลือกใช้ชนิดยางให้ถูกต้องเป็นสิ่งยากมาก
เพราะในระหว่างการแข่งขันจากจุดเซอร์วิศถึงจุดลงเวลาอาจจะกินเวลานานถึง
2 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าทั้งอุณหภูมิและสภาพอากาศอาจเปลี่ยนแปลงได้เยอะมาก
นั่นคือแค่การเลือกยางอาจส่งผลถึงการแพ้ชนะก็เป็นได้" โ
ฆษกของมิเชอแลงกล่าวเตือนทุกทีมก่อนการแข่งจะเริ่มขึ้นไม่นาน
การแข่งขันในเลกแรกจบลงด้วยการที่ เซบัสเตียง โลบ์ ควบรถซีตรอง ซารา
ขึ้นมาเป็นผู้นำตั้งแต่สเตจแรกจนสเตจสุดท้ายของวัน ตามมาติดๆ
ด้วย มาร์คโค มาร์ทิน (MARKKO MARTIN) นักขับทีม ฟอร์ด
ชาวเอสโตเนีย ทำเวลาไล่หลังอยู่เพียง 32.4 วินาที แถมเขายังชนะในสเตจที่เป็นทางตรงได้ถึง 3 สเตจ
ซึ่งสร้างความกดดันให้ โลบ์ ได้ไม่น้อย ขณะที่ มาร์คุส โกร์นโฮล์ม (MARCUS GRONHOLM)
อดีตแชมพ์โลกสองสมัยสัญชาติฟินแลนด์ อาศัยการขับแบบประคองตัวทำเวลาเข้ามาเป็นอันดับสาม
ส่วน เพทเทอร์ โซลเบิร์ก (PETTER SOLBERG) ถอนตัวออกจากการแข่งขันไปตั้งแต่สเตจแรกเนื่องจากรถ
อิมพเรซา ของเขามีปัญหา
เลกที่สองความกดดันของ โลบ์ ผ่อนคลายลง เมื่อทีม ฟอร์ด
ต้องเสียเวลารอชิ้นส่วนอะไหล่ที่มาถึงล่าช้ากว่า
กำหนด ทำให้ มาร์ทิน มาสายในช่วงลงทะเบียน เขาถูกลงโทษปรับเวลาถึง 30 วินาที ซึ่งส่งผลให้
โกร์นโฮล์ม เลื่อนขึ้นมาอันดับสองแทน และทิ้งช่องว่างให้ โลบ์ ขับสบายขึ้น
"มันน่าผิดหวังมากที่เราเสียเวลาไปในช่วงเซอร์วิศ และตอนนี้เราก็หมดโอกาสที่จะไล่ โลบ์ ได้ทัน
นอกเสียจากว่าเขาจะขับเสียเอง ผมรู้ว่าไม่มีคะแนนสำหรับคนที่เสี่ยงมากกว่าคนอื่น
ดังนั้นเราทำได้ดีที่สุดแค่รักษาอันดับเอาไว้ให้ได้ แค่นั้นผมก็พอใจแล้ว" มาร์ทินกล่าวอย่างผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม มาร์ทิน สามารถแก้ตัวได้ทันควันเมื่อเขาเร่งความเร็วรถทำเวลาดีที่สุด 3 สเตจรวดคือ
ในสเตจที่ 7-9 ทำให้กลับขึ้นมาอยู่ที่สองเหมือนเดิม จบการแข่งขันในเลกสอง อันดับที่ 1-3 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เซบัสเตียง โลบ์ ยังคงควบรถ ซีตรอง ทำเวลานำหน้า มาร์ทิน อยู่ 43.2 วินาที
เลกที่สาม โลบ์
ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งแชมพ์มากขึ้นด้วยการทำเวลาดีที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งในช่วงเช้า ขณะที่
อันดับอื่นๆ ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกสเตจ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายมีฝนตกลงมากะทันหันโดยที่มีหลาย
ทีมยังไม่ทันตั้งตัว หนึ่งในนั้นคือ โกร์นโฮล์ม พลาดท่าเร่งความเร็วมากเกินไป
ส่งผลให้รถลื่นไถลไปชนขอบทางอย่างแรงจนล้อหลุดต้องออกจากการแข่งขันเสียอันดับสามไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตามทีม เปอโฌต์ ยังคงมี ปานิซซี แชมพ์เก่าที่นี่เลื่อนขึ้นมาจากที่สี่มารั้งอันดับสามแทน
ก่อนจะถึงช่วงท้ายของการแข่งขันซึ่งถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการแข่งขันในครั้งนี้เมื่อ ปานิซซี ทะยานรถ เปอโฌต์
ที่ทีมงานเลือกใส่ยางสำหรับถนนเปียกมาให้พอดี ทำเวลาแซงหน้าขึ้นมานำ มาร์ทิน
อย่าฉิวเฉียดในช่วง 21 กิโลเมตร ของสเตจสุดท้าย
จบการแข่งขัน โลบ์ สร้างความตื่นเต้นสุดขีดให้กับทีมงานด้วยการคว้าแชมพ์แรกในรายการนี้ได้สำเร็จ
ด้วยเวลารวมทั้งหมด 4 ชั่วโมง 16 นาที 33.7 วินาที ทิ้งห่างเพื่อนร่วมสัญชาติ ปานิซซี แชมพ์ 3 สมัยซ้อน
ถึง 38.3 วินาที ขณะที่อันดับสามตกเป็นของน้องใหม่ฟอร์มร้อนแรง มาร์คโค มาร์ทิน ทำเวลาตามหลังแชมพ์ 54.6 วินาที
การที่ โลบ์ สามารถคว้าแชมพ์ในสนามนี้ได้สำเร็จ
ส่งผลให้อันดับคะแนนสะสมประเภทผู้ขับของเขาขยับขึ้นมา
เป็นอันดับสองทันที โดยตามหลัง ริชาร์ด เบิร์นส (RICHARD BURNS) แค่สองแต้ม ขณะที่ การ์โลส
เซนซ์ (CARLOS SAINZ) ยังคงรักษาอันดับที่สามเอาไว้ได้ หลังจากที่เขาเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 4
รับคะแนนเพิ่มอีก 5 แต้ม ส่วน โซลเบร์ก แม้จะไม่ได้อันดับใดๆ ในสนามนี้ไปครองเนื่องจากรถมีปัญหา
แต่ยังคงเป็นอันดับ 4 ประเภทคะแนนสะสมประเภทผู้ขับ เนื่องจาก โกร์นโฮล์ม คู่ปรับของเขาก็ไม่ได้คะแนนกลับไปเช่นกัน
สำหรับคะแนนสะสมประเภททีมผู้ผลิต ซีตรอง
ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในการแข่งขันสนามนี้
ขยับขึ้นมายืนอยู่หัวแถวมี 125 แต้ม ขณะที่ทีม เปอโฌต์ โดนเบียดตกไปอยู่อันดับสองมี 121 แต้ม
ส่วนทีม ซูบารุ ตามมาห่างๆ มีคะแนนเพียง 76 แต้มเท่านั้น
สนามต่อไปจะยกพลไปแข่งกันต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดและความคดเคี้ยวของเส้นทาง
คงต้องมาลุ้นกันต่อว่าทีม เปอโฌต์ จะสามารถตีตื้นขึ้นมาชิงตำแหน่งผู้นำคืนได้สำเร็จหรือไม่
สรุปผลการแข่งขันรวม 11 สนาม ประเภทผู้ขับ
[table]อันดับ, ผู้ขับ, คะแนนสะสม (สนาม 1-10), คะแนน (สนาม 11), คะแนนรวม
ชนะเลิศ, ริชาร์ด เบิร์นส, 55, 2, 57
รองอันดับ 1, เซบัสเตียง โลบ์, 45 ,10, 55
รองอันดับ 2 ,การ์โลส เซนซ์ ,48, 5, 53[/table]
สรุปผลการแข่งขันรวม 11 สนามประเภททีมผู้ผลิต
[table]อันดับ, ทีม, คะแนนรวม
ชนะเลิศ, ซีตรอง ,125
รองอันดับ 1, เปอโฌต์ ,121
รองอันดับ 2, ซูบารุ ,76[/table]
เรื่องโดย : สิทธิพงศ์ วิยาภรณ์
ภาพโดย : โรงงาน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56283