รุ่นนี้พอมีเหลือ
อะไรฤาจะเท่า
ผมเขียนหนังสือมาไม่น้อยกว่า 40 ปี ดันมีคนถามผมจนได้ว่า ยุทธวิธีในการเขียนหนังสือของผมนั้นคืออย่างไรบ้าง มีอะไรเป็นตัวหลัก
ผมก็ว่า การเขียนหนังสือของผมน่าจะถูกเรียกเสียใหม่เป็นการพิมพ์หนังสือเพราะผมใช้เครื่องพิมพ์ตลอดไม่เคยเขียนด้วยมือ คนเราถ้าเอามือเขียนหนังสือติดต่อกันแทบทุกวันมาเป็นเวลา 40 ปี คูณด้วย 365วัน ได้ผลลัพธ์ 14,600 วันเป็นอย่างต่ำ
เมื่อยมือตายห่...
ผมจึงใช้พิมพ์ดีด อันเป็นความรู้ที่เรียนด้วยตนเองสมัยเป็นเสมียนอยู่กับสำนักเลขานุการคณะกรรมการอบรมข้าราชการแลประชาชน ซึ่งมี จอมพล ผิน ชุณหะวัณ เป็นประธานในสมัยนั้น จนกระทั่งเครื่องพิมพ์ดีดวิวัฒนาการเป็นพิมพ์ดีดไฟฟ้า และเป็นคอมพิวเตอร์ในที่สุด
ยุทธวิธีในการพิมพ์ของผมเป็นมาแต่ครั้งยังไม่แต่งเมีย จนถึงวาระแต่งเมียมีลูกในการมีชีวิตกับเมียเป็นเรื่องยุ่งยากโดยเฉพาะการสื่อสารระหว่างผมกับเมียและเมื่อผมจำเป็นต้องพิมพ์หนังสือควบคู่กันไปในเวลาที่ผมมีโอกาสมันก็เกิดความยุ่งยาก ยุ่งยากเพราะแต่งเมียแล้วดันมีลูก และลูกก็ดันอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น
หน้าเครื่องพิมพ์ของผม มักติดภาพผู้หญิงสวยๆ ไว้ที่ผนังด้านหน้าพิมพ์ไปพิมพ์มาผมก็ต้องเงยหน้ามองดู "สปอนเซอร์หลัก" ของผมเสียแว่บหนึ่งเพื่อชาร์จแบทเตอรี
หากไม่เพียงพอก็ต้องขอความร่วมมือกับเมีย แต่เดิมนั้นยังไม่มีลูกก็สามารถสื่อสารกันได้ตรงประเด็นแต่พอมีลูกแล้วก็ต้องเบี่ยงประเด็นออกไปเราสองคนร่วมกันออกความคิดอยู่นานจนกระทั่งหาข้อยุติแห่งการปฏิรูประบบเซกซ์ ได้คือ
เวลาใด เราเกิดมีอารมณ์ เมียเราก็จะบอกลูกว่า อย่าไปยุ่งกะพ่อเขา พ่อจะพิมพ์หนังสือ เป็นอันว่ารู้กันปิดประตูห้องทำงานแล้วลงมือพิมพ์
คืนหนึ่ง ผมกลับจากงานเลี้ยง (คนอย่างผมถ้ากินนอกบ้านทุกวันก็กินได้เพราะมีคนนัดเลี้ยงแทบทุกคืน) ดื่มไปบ้างเสวนาไปมาก และเห็นผู้หญิงสวยๆ ในงานแยะ กลับบ้านก็เกิดอารมณ์เข้ามาในบ้านก็ถามเมียว่า "อยากพิมพ์ต้นฉบับ"
เมียไม่มีอารมณ์ คงจะเคืองในการที่ผมกลับบ้านดึก ตอบทันทีว่า"วันนี้พิมพ์ดีดเสียยังไม่ได้ให้ช่างมาซ่อม"
ผมก็ปฏิบัติเหมือนสามีคนอื่นๆ ทั่วไป คือไม่เถียงเมียสักคำ อาบน้ำขัดถูเนื้อตัวทุกๆ ส่วนเรียบร้อยแล้วก็เข้านอน หลับไปจนก่อนจะรุ่งเช้ารู้สึกว่าเมียสะกิดสีข้างพร้อมกระซิบบอกผมว่า"พิมพ์ดีดใช้ได้เหมือนเดิมแล้วคุณ..."
ผมก็บอกเมียว่า "ไม่เป็นไรจ้ะ ผมเขียนด้วยมือไปเรียบร้อยแล้ว !"
ระหว่างไปเที่ยวประเทศอินเดีย หรือในระหว่างที่ผมมีโอกาสไปเที่ยวเมืองนอก สิ่งหนึ่งที่ผมประพฤติเป็นประจำก็คือ พยายามอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่เป็นภาษาอังกฤษเพื่อสอดรู้สอดเห็นกับความเป็นไปของท้องถิ่นนั้น และของโลก
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมต้องการเห็นวิชาการหนังสือพิมพ์รายวันของท้องถิ่นนั้นๆว่าเขาทำหนังสืออย่างไร บรรจุสาระเนื้อหาอะไรลงไป จึงมีคนอ่าน ?
เมื่อผมพักอยู่โรงแรมในนิว เดลลีผมได้รับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่โรงแรมบริการส่งมาให้อ่านตอนเช้าเป็นหนังสือของเมือง ชื่อ HT CITY หลังจากอ่านข่าวในเมืองอินเดียแล้วผมพลิกไปพลิกมาได้เจอคอลัมน์วัยรุ่น FRIENDSHIP BOARD "ถ้าคุณมีความในใจสำหรับยอดรักของคุณ ละเลงได้เลยตรงนี้"
"ถ้าคุณยังอายุต่ำกว่า 25 ปี และหัวใจคุณยังเต้นดังพอที่จะให้อีกคนหนึ่งได้ยินแล้วละก็ SEND YOURLOVE BYTES FOR THAT SPECIAL PERSON" แน่ะ บรรยายโปรยหัวมาแบบนี้ผมก็ไม่รอช้ารีบอ่านเอาความทันทีทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เขียนถึงผม
(หมายเหตุผู้คัดลอก-ผมเลือกเป็นบางข้อความครับและต้องขอโทษที่ต้องคัดมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ได้ความลึกๆ และผมได้ตัดชื่อผู้ส่งกับชื่อผู้รับออกไปด้วย)
"AT LAST, AUGUST 5 IS HERE. I WISH U A VERY SWEET AND HOT BIRTHDAY."
"I KNOW YOU'RE ANGRY. I'M SORRY, PLEASE FORGIVE ME. I CAN'T LIVE WITHOUT YOU."
"I LOVE YOU FROM THE CORE OF MY HEART. JUST WANT TO SAY THAT."
"HOW ARE U ? I HAVE NOT SEEN U, MET U OR SPOKEN TO U. I TALK TO U ONLY IN
MY DREAMS. I KNOW THAT SOMEDAY I WILL MEET U, MAY BE THIS COLUMN WILL
HELP ME TO MEET U. PLS MAIL ME AT..."
PLS หรือ PLZ ย่อมาจากคำว่า PLEASE
"SWEETHEART : YOUR FRIENDSHIP IS A PRECIOUS GIFT, WHICH I CANNOT AFFORD TO LOSE. PLZ BE LIKE THIS ALWAYS."
"U KNOW IF V LOOSE SOME-1 WHOM V ADMIRE, WHOM V LOVE, WHO'S PART OF OUR LIFE THEN IT'S VERY PAINFUL. SO NOW U CAN IMAGINE HOW MUCH I LUV U. U R SUCH A SWEET, CUTE, BEAUTIFUL, INNOCENT, UGLY DUCKLING. PLZ BE MINE. U KNOW I'M NOTHING RIGHT NOW BUT I PROMISE U I'LL TAKE CARE OF U. I CAN'T LIVE WITHOUT U."
และสาส์นรักต่อไปนี้ ผมถือว่าเป็นทีเด็ด ไพเราะและกินใจดีมากๆ
"IF KISSES R RAINDROPS, I WILL SEND U SHOWERS. IF HUGS R SECONDS, I WILL SEND U HOURS. IF SMILES R WATERS, I WILL SEND U SEA."
ผมเคยใช้บริการของโรงแรมในต่างประเทศหลายประเทศ แต่ต้องยอมรับว่าโรงแรมในอินเดียยังเหนือกว่าไม่น่าเชื่อ
เป็นห่วงแม้แต่จะล้มตัวลงนอน หัวนอนมีทั้งม่านปิดตาและวัสดุป้องกันเสียงปิดหูสองข้างเพื่อให้โอกาสเพื่อนร่วมนอน ดูทีวี เปิดไฟฟ้า ได้ไม่ขัดจังหวะกัน แถมยังมีความปรารถนาดีด้วยข้อความ
"การนอนหลับไม่ได้เป็นเพียงแค่กระชากชั่วโมงเล็กน้อยจากตารางงานที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันการนอนหลับเป็นความสำคัญยิ่งต่อจิตใจของคุณ ต่อร่างกายของคุณ และต่อความรู้สึกอันดี"
"โปรดจำไว้ว่า/การขอ WAKE-UP CALL เป็นประกันว่าคุณจะไม่นอนหลับจนเลยเวลากำหนดตื่น และ
"WELCOME ASSISTANCE พร้อมรับใช้คุณถ้าคุณต้องการ ไม่ว่าเป็นชั่วโมงใด"
ดึกแค่ไหนก็เรียกได้ ถ้าเราต้องการความช่วยเหลือ-ว่างั้นเถอะครับ นอกจากแผ่นข้อความนี้แล้วเขายังมีสมุดเล่มเล็กสร้างตำนานว่าด้วยการนอนหลับให้เราอ่านเล่นๆ
สมุดเล่มเล็กมีไม่กี่หน้า สารบัญของเขาเริ่มด้วย "คุณนอนหลับเพียงพอหรือเปล่า ?" และตามด้วย
"ทำไมต้องนอน ?" การนอนหลับไม่สำคัญเท่าคุณได้นอนหลับอย่างไร ได้พักผ่อนอย่างไร
"จำกัดความที่คุณต้องการ" ขึ้นอยู่กับวัยของคุณเป็นหลัก
"คุณอยู่ในอารมณ์เศร้าหมองหรือเปล่า ?" อาการแห่งความเศร้าเป็นการรบกวนการนอนหลับ
"การเปลี่ยนแปลงเวลาโลก" มีข้อแนะว่า ควรกำหนดถึงปลายทางในเวลาค่ำและอย่านอนจนกว่าจะสี่ทุ่มของเวลาตามท้องถิ่นไปแล้ว ไม่ควรกินอาหารอิ่มจนเกินไปเมื่อไปถึง
"เพราะเหตุใดคุณนอนไม่หลับ ?" มีปัจจัย 3 ตัวเท่านั้น ร่างกาย, จิตใจ และ ภาวะสิ่งแวดล้อมความเจ็บป่วย สภาพจิตใจ และเสียงกรน
"การปรับตัวเอง" เกี่ยวพันถึงสภาวะทางจิตใจ งานที่ทำมาในตอนกลางวันอย่างโชกโชนหรืองานที่ทำเป็นนิสัยจนถึงเวลาดึก เป็นผลลัพธ์ต่อเนื่องถึงการปรับตัวเองให้พร้อมต่อการนอน
"ภาวะแวดล้อม" เสียง ฟูกที่นอนและหมอนหนุนศีรษะ และอุณหภูมิ (ควรอยู่ที่ 22 องศาเซลเซียส)
บทสุดท้าย "เพื่อการนอนหลับที่ดี" การออกกำลังกายควรกระทำก่อนนอนประมาณ 3 ชั่วโมง,อาหารและเครื่องดื่มไม่ควรมีโปรตีน, คาร์โบไฮเดรท และน้ำตาลมาก นมอุ่นๆ สักแก้วจะดี
พึงหลีกเลี่ยงแสงจ้า พยายามมีสมาธิในขณะอยู่กับความมืด
ควรตั้งเวลาปลุกในตอนเช้า เพราะความเป็นห่วงต่อการตื่นนอนสายอาจทำให้การนอนหลับของคุณไม่เป็นสุขเท่าที่ควร
ทำใจให้โปร่งใสอย่าปล่อยให้ความกังวลและความเครียดในตอนกลางวันบุกรุกเข้ามาหาคุณถึงเตียงนอน
ปล. ตำนานในการนอนของผม อะไรๆ ฤาจะเท่ามีหมอนข้างดีๆ สักคน !
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56240