รู้ไว้ใช่ว่า
พุ่งชนตำรวจ
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีคนขับรถกระบะไปแจ้งตำรวจตู้ยามข้างทางแห่งหนึ่งว่า มีรถพ่วงสิบแปดล้อทำทรายหล่นใส่รถของเขาได้รับความเสียหาย ให้ตำรวจช่วยจัดการด้วย
ปรากฏว่าพลตำรวจสองนายในตู้ยามขยันอยู่หรอก ไม่เมินเฉยเหมือนตำรวจที่รับโทรศัพท์จากชาวบ้านเนื่องจากไม่เห็นตัวและซิ่งได้ ตำรวจนายหนึ่งจึงโดดออกไปรอ เมื่อเห็นรถพ่วงบรรทุกทรายขับขี่โดย "นายสาธุ" กำลังแล่นมาก็โบกมือให้หยุดรถ เพื่อถามไถ่เอาความ
ไม่มีใครในประเทศไทยต้องการหยุดรถเมื่อตำรวจโบกให้หยุดหรอกครับ สาเหตุคือกลัวความไม่เป็นธรรม กลัวการรีดไถเป็นหลัก
นายสาธุทำเป็นไม่เห็น บึ่งรถต่อไป
พลตำรวจสองนายจึงควบรถกระบะตราโล่ ไล่ตามไปสี่ห้ากิโลก็แซงขึ้นหน้า แล้วเกิดเรื่องขึ้น ตำรวจระบุว่านายสาธุไม่ยักธรรมะธัมโมเหมือนชื่อ ดันขับรถพุ่งเข้าหาตำรวจจะชนให้ตาย เมื่อตำรวจไล่กวดเพื่อจับกุมนายสาธุเห็นจวนตัว ไปจอดที่โรงปูน เพื่อหลบหนี ตำรวจจึงยึดรถมาชั่งน้ำหนัก พบว่าบรรทุกเกิน
นายสาธุหนีไม่พ้น โดนจับในที่สุด โดนอัยการฟ้องข้อหาหนัก พยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติตามหน้าที่ขับรถโดยไม่ทำตามสัญญาณจราจรเมื่อตำรวจโบกให้หยุด ขับรถหนีตำรวจโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ขับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พรบ. จราจรทางบก และพรบ. ทางหลวง รวมกันหลายข้อหา
เดือดร้อนต้องหาทนายสู้คดี นายสาธุให้การรับสารภาพข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกิน ฐานไม่ทำตามสัญญาณจราจรเมื่อตำรวจโบกให้หยุดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย แต่ปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่าตำรวจ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่านายสาธุ มีความผิดครบทุกข้อหาตามฟ้อง จำคุกข้อหาพยายามฆ่าตำรวจตลอดชีวิต ข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยอันเป็นข้อหาตาม พรบ. จราจรซึ่งหนักที่สุด จำคุก 2 เดือน ข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกิน จำคุก 2 เดือน ข้อหาเล็กๆ น้อยๆ นายสาธุ รับสารภาพจึงลดให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 เดือน
ส่วนข้อหาพยายามฆ่าลดให้หนึ่งในสามเพราะรับชั้นโรงพัก จึงแปลงโทษจำคุกตลอดชีวิตมาเป็นโทษจำคุก 50 ปี ลดหนึ่งในสามเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน รวมเบ็ดเสร็จโดนเข้าไป 33 ปี 6 เดือน
ญาติพี่น้องลูกเมียนายสาธุ มาฟังคำพิพากษาที่ศาล ต่างหาวเรอเป็นลมเป็นแล้งกันขนานใหญ่ เมื่อรู้ว่าศาลลงโทษนายสาธุ พอๆกับโทษปล้นฆ่าหรือค้ายาบ้ายาเสพย์ติด เมื่อกินยาลมดมยาหม่องบรรเทาลงแล้ว ก็หาทางช่วยเหลือนายสาธุ ด้วยการให้ทนายยื่นอุทธรณ์ ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่าตำรวจ ไม่ได้ขับรถชนตำรวจ ตำรวจใส่สีใส่ไข่มากเกินไปเพราะโมโหที่ไม่ยอมหยุดรถ แต่ไม่เป็นผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ลงโทษตามศาลชั้นต้น
นายสาธุและญาติลมใส่เป็นยกที่สอง ดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้ายด้วยการให้นายสาธุ ยื่นฎีกา เรามาดูกันว่าจะรอดสันดอนหรือไม่ ?
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินออกมาอย่างถ้วนถี่ดังนี้
ข้อที่ตำรวจสองนายอ้างว่าขับรถกระบะไล่มาทันแล้ว ตำรวจยังนั่งอยู่ในรถ เรียกให้นายสาธุ เข้าไปหา ไม่รีบลงจากรถไปหาจำเลย ศาลเห็นเป็นพิรุธ น่าจะเบิกความโดยปกปิดข้อเท็จจริงบางประการ พูดง่ายๆ คือใส่ไข่ใส่สี เมื่อตำรวจเบิกความต่อไปว่า นายสาธุลงจากรถเข้ามาหา พอตำรวจซึ่งยังนั่งอยู่ในรถกระบะถามหาใบขับขี่ นายสาธุบอกว่ามีแต่ใบสั่ง เมื่อตำรวจขอดูนายสาธุเดินกลับไปที่รถบรรทุก ก่อนขึ้นขับตะโกนท้า อยากได้ให้ขับรถตามไปให้ทัน ศาลยิ่งไม่เชื่อว่าคนหากินทางขับรถเจอตำรวจเป็นประจำ จะกล้าท้าทายขนาดนั้น โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุโกรธเคืองมาก่อน
การที่ตำรวจอ้างว่านายสาธุขับรถบรรทุกพ่วงพุ่งเข้าหารถบรรทุกน้ำมันซึ่งตำรวจขอร้องให้ช่วยสกัดและพุ่งเข้าหาตำรวจที่ยืนดักกลางถนนเพื่อชนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตำรวจไม่ได้นำคนขับรถบรรทุกน้ำมันมาเป็นพยาน คำเบิกความที่ระบุว่ารถบรรทุกน้ำมันอยู่ห่างรถของนายสาธุแค่ 5-6 เมตร ขณะที่รถนายสาธุ จะพุ่งเข้าชน แล้วรถน้ำมันเบนหนีหลบได้พ้น ศาลฎีกาบอกว่าไม่น่าเชื่อ เพราะระยะกระชั้นชิด รถบรรทุกน้ำมันไม่ใช่รถตุ๊กๆ (อันนี้ผมว่าเอง) จะหลบได้ทัน คำของตำรวจค่อนข้างโอเวอร์
สำหรับพยานซึ่งเป็นชาวบ้านปากหนึ่งอ้างว่าอยู่ที่ร้านขายของข้างถนนห่างที่เกิดเหตุราว 150 เมตร แม้จะให้การชั้นสอบสวนเหมือนที่ตำรวจเบิกความในศาล แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศาลพยานได้ฉากหลบตอนสำคัญ บอกว่าไม่เห็นตอนที่นายสาธุขับรถพุ่งเข้าจะชนตำรวจ คำให้การชั้นโรงพักตำรวจจดเอาเองโดยไม่อ่านให้ฟัง น้ำหนักจึงเสียไปอักโข
สรุปแล้วศาลฎีกา เห็นว่าพยานหลักฐานที่ว่านายสาธุ ขับรถพุ่งเข้าไปเพื่อชนตำรวจให้ม่องเท่งยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่ามีเจตนาฆ่าตำรวจหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
แต่นายสาธุ อย่าเพิ่งดีใจ เพราะการขับรถหนีตำรวจแบบนั้น ตำรวจลงมาโบกให้หยุดอยู่บนถนนแล้วขับหนีไปจนตำรวจต้องโดดหลบเป็นพัลวัน อาจทำให้ตำรวจบาดเจ็บได้ จึงมีความผิดข้อหาพยายามทำร้ายร่างกายตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่า แต่ลงโทษข้อหาพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ จำคุก 2 ปี ลดให้หนึ่งในสามเหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน บวกกับโทษตาม พรบ. จราจรทางบก และพรบ. ทางหลวงที่มีอยู่ 2 เดือนตามที่ศาลล่างตัดสินไว้ เป็น 1 ปี 6 เดือน
หลงจ้งแล้วนายสาธุ ติดตะรางอยู่ดี หนีไม่พ้น แต่ลดน้อยถอยลงพอรับไหว คือ 1 ปี 6 เดือน ไม่ใช่สามสิบกว่าปีอย่างที่ศาลล่างว่าไว้
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2545
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55910