ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลุยเมืองปราสาทกับ โตโยตา ดี-โฟร์ดี
การเดินทางไปกับ โตโยตา ครั้งนี้ นอกจากจะได้ลองขับ ดี-โฟร์ดี คอมมอนเรล 3000 ที่ใช้ชื่อรหัสว่า 1KD-FTV เป็นเครื่องยนต์เดียวกันกับรุ่น ปราโด แล้ว สิ่งที่ได้คือ ความประทับใจที่ได้สัมผัสความอลังการแห่งอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ในอดีตของอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชอาณาจักรไทยมาตลอด
จุดมุ่งหมายในการเดินทางครั้งนี้ คือ เสียมราฐ จังหวัดหนึ่งของประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครวัต นครธม และปราสาทอื่นๆ อีกมากมาย ในวันแรกเรามาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว พวกเราจึงเปลี่ยนแผนมุ่งหน้าสู่ปราสาทพนมบาเค็ง เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก่อนเชคอินที่โรงแรม
ปราสาทพนมบาเค็ง ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมบาเค็ง เป็นภูเขากลางเมืองที่มีความสูงประมาณ 60 เมตร ตั้งเด่นอยู่ระหว่าง นครวัต กับนครธม ซึ่งถ้าอยู่บนปราสาทพนมบาเค็ง แล้วมองไปที่บารายตะวันตก อ่างเก็บน้ำโบราณ ก็จะเห็นเส้นที่แบ่งขอบฟ้าและขอบน้ำ ให้ภาพที่สวยงามมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในวันนั้นฟ้าไม่เปิดให้เห็นพระอาทิตย์โตเต็มดวง ได้เห็นแต่เพียงแสงยามอัสดงเท่านั้น
ขณะที่ขึ้นไปบนเขาพนมบาเค็ง เราได้เจอเพื่อนสื่อมวลชนอีกกลุ่มที่เดินทางมาล่วงหน้าเราหนึ่งวัน ในการเดินทางครั้งนี้ทาง โตโยตา แบ่งกลุ่มผู้เดินทางออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกขับรถจากกรุงเทพ ฯเข้าสู่เสียมราฐ ส่วนอีกกลุ่มรับหน้าที่ขับรถจากเสียมราฐกลับกรุงเทพ ฯ ทำให้คณะผู้ร่วมเดินทางไม่เหนื่อยนักก็ถือว่าเป็นการจัดการที่ดีของฝ่ายประชาสัมพันธ์ โตโยตา
วันที่สองในเสียมราฐ เป้าหมายของการเดินทางในวันนี้ คือ นครวัต นครธม (เมืองพระนคร) และปิดท้ายด้วยการเยี่ยมชมตลาดเสียมราฐ เช้าวันนี้กับการเดินทางบนรถ โตโยตา ผมจับคู่ไปกับคุณถิรพร เนาว์ถิ่นสุข (น้าตั๋ม) ช่วงแรกของการเดินทาง ผมรับหน้าที่เป็นสารถี แต่พอช่วงบ่ายต้องขอให้น้าตั๋ม ช่วยขับแทน เพราะผมต้องรับหน้าที่ในการเก็บภาพสวยๆ ในการเดินทางครั้งนี้
เมื่อมาถึงนครวัต หรือที่ชาวเขมรเรียกว่า อังกอร์ วัด เป็นโบราณสถานซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของกัมพูชาจะเห็นได้ว่ารูปนครวัตจะปรากฎบนธงชาติของกัมพูชา นครวัตเป็นผลิตผลทางอารยธรรมฮินดูที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตามความเชื่อของเขมรโบราณ กล่าวกันว่า นครวัต เป็นตัวแทนของจักรวาล ประกอบด้วย ปราสาทห้ายอด ยอดที่อยู่ตรงกลางแทนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นที่ประทับขององค์พระวิษณุ ส่วนปราสาทที่เหลือเป็นตัวแทนของทวีปตามความเชื่อของฮินดู แต่ในบางครั้งเราอาจจะเห็นรูปของนครวัตมีปราสาท 3 ยอดบ้าง 5 ยอดบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมอง
เพราะถ้ามองตรงทางเข้าปราสาทจะเห็นเพียง 3 ยอด เกิดจากการซ้อนกันของตัวปราสาท แต่ถ้าเราเปลี่ยนจุดมองจากแนวตรงมาเป็นแนวเฉียงก็จะเห็นปราสาททั้ง 5 ยอด
นอกจากความยิ่งใหญ่แล้ว นครวัตมีความแตกต่างจากปราสาทหินอื่นๆ ตรงที่ นครวัตจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ส่วนปราสาทอื่นๆ จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก การออกแบบก่อสร้างนครวัตจะกำหนดตามแนวทิศทั้งสี่ โดยเฉพาะแนวทิศตะวันออก และทิศตะวันตก แทบจะไม่ผิดไปจากเส้นแนวจากดวงอาทิตย์เลย ฉะนั้นจึงมีการคาดการณ์กันว่าปราสาทแห่งนี้น่าจะเริ่มสร้างในวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์ และเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ทำมุมตั้งฉากมากที่สุด ส่วนเหตุที่หันหน้าออกทางทิศตะวันตก สันนิษฐานกันว่านครวัตถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่บรรจุพระศพของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเป็นเทวาลัยด้วย
จากนครวัต เข้าสู่นครธม ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างขึ้นด้วยความศรัทธาในพุทธศาสนา ในยุคที่เกิดการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงระหว่างลัทธิพราหมณ์ กับศาสนาพุทธนิกายมหายาน ดังนั้นจะเห็นได้จากประตูเมืองนครธม ยอดซุ้มจะเป็นหน้าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หันหน้าออกทั้งสี่ทิศเพื่อคอยดูแลทุกข์สุขของราษฎร และที่โดดเด่นที่สุด คือ ปราสาทบายน ซึ่งเป็นสุดยอดอารยธรรมเขมร ก่อนถึงยุคเสื่อม เป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีชัยเหนือลัทธิพราหมณ์
ลักษณะเด่นของยอดปราสาททุกยอดจะมีพระพักตร์ของพระอิศวร หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สี่พักตร์หันออกสี่ทิศเหมือนอย่างซุ้มประตูเมือง นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมฝาผนังแกะสลักเป็นภาพที่แสดงให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ชีวิตประจำวันของคนในสมัยนั้น ซึ่งจะต่างจากภาพแกะสลักของนครวัตที่จะเน้นไปที่ความเชื่อของฮินดู
ในนครธมนอกจากจะมีปราสาทบายนแล้ว ยังมี ปราสาทบาปวน ระเบียงช้าง และพิมานอากาศ เป็นต้น ซึ่งถ้าจะเที่ยวชมนครธมให้ทั่วจริงๆ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเต็มๆ
หลังจากชมนครธมเสร็จแล้ว พวกเราก็บ่ายหน้าเข้าตลาดเสียมราฐ เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ ก่อนจะกลับเข้าโรงแรมพักผ่อน
ตลอดเส้นทางของวันนี้ การขับรถ โตโยตา เป็นไปด้วยความราบรื่นเพราะถนนราดยางหมดแล้ว เนื่องจากทางกัมพูชาได้งบพัฒนาจากประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของเสียมราฐในขณะนี้ปรับปรุงขึ้นเยอะมาก ทุกสี่แยกในตัวเมืองเสียมราฐมีไฟเขียวไฟแดงที่มีเวลาบอกด้วย ซึ่งในเมืองไทยเรายังมีแค่แห่งเดียวอยู่ที่แยกผ่านฟ้าเท่านั้น
สำหรับพรุ่งนี้คงไม่สบายเหมือนวันนี้แน่ เพราะจากคำบอกเล่าของเพื่อนสื่อมวลชนที่ขับรถเข้ามาจากปอยเปตนั้น บอกว่าสภาพเส้นทางที่เข้ามาเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก และมีเส้นทางขาดเพราะน้ำท่วมอีก 5-7 จุด ทำให้การเดินทางจากปอยเปตถึงเสียมราฐด้วยระยะทาง 150 กม. ต้องใช้เวลาไปเกือบ 7 ชม.
เช้าวันที่สาม บทพิสูจน์บนเส้นทางจริง จากเสียมราฐถึงปอยเปต มีการเปลี่ยนแผนการเดินทางอีกครั้ง เมื่อกำหนดการตอนแรกตั้งไว้ว่าจะเดินทางไปชมปราสาทตาพรหม ซึ่งเป็นปราสาท 24 หลัง ตั้งอยู่กลางป่าสปง ในบริเวณนี้ท่านจะได้เห็นต้นสปงขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่บนปราสาทโดยมีรากห่อหุ้มตัวปราสาทเอาไว้ นับว่าเป็นสิ่งวิจิตรตระการตาที่ธรรมชาติสร้างขึ้น แต่เพื่อที่จะควบคุมเวลาไปให้ทันจุดผ่านแดนที่ปอยเปต จึงตัดโพรแกรมตอนเช้าออกไป แล้วมุ่งหน้าสู่ปอยเปตทันที
ระยะทางช่วงแรกของการเดินทาง สภาพถนนยังสมบูรณ์ดี พวกเราจึงเร่งทำเวลาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะผจญอุปสรรคในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
สุดเขตทางดีเข้าสู่ทางวิบาก ถนนลูกรังสภาพแย่กว่าที่คิด เพราะถนนเต็มไปด้วยหลุมบ่อทั้งขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง เรียกว่าบนเส้นทางนี้ ไม่มีเวลาให้ระบบช่วงล่างได้พักผ่อนกันเลย บางช่วงถนนขาดเพราะน้ำหลาก เราก็ต้องเข้าเกียร์ 4L ลุยกันเลย ถึงแม้ว่าทางที่ขาดบางแห่งจะมีชาวบ้านหัวใสมาทำสะพานชั่วคราวไว้ข้ามฝั่ง โดยหวังเก็บเงินค่าผ่านทาง แต่ทางกลุ่มของเราก็ปฏิเสธทางเหล่านั้น ขอลุยดีกว่าถือว่าเป็นการทดสอบรถไปในตัว ซึ่งบางครั้งน้ำท่วมลึกถึงฝากระโปรงหน้า แต่รถทุกคันก็ผ่านไปได้อย่างสบาย พอเข้าเมืองศรีโสภณ ถนนเริ่มดีขี้น จึงหยุดพักทานข้าวกลางวันก่อนจะออกเดินทางต่อไป
ตลอดเส้นทางจะเห็นเด็กตัวเล็กๆ ยืนอยู่ริมสองข้างทางเพื่อขอสิ่งของและเงิน บางคนใจกล้ายืนขวางกลางถนน ไม่สนใจว่ามีรถเร็ววิ่งมา ขอฝากไว้หากท่านเดินทางไปเขมรแล้วเห็นเด็กขอทานข้างถนนอย่างนี้แล้ว อย่าได้ให้เงินหรือสิ่งของเด็ดขาด เพราะเด็กพวกนี้ไม่สนใจรถ อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
พอถึงปอยเปต เหลือบมองนาฬิกาต้องตกใจเพราะการเดินทางครั้งนี้ ใช้เวลาแค่ 5 ชม. เท่านั้น เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ในความเห็นผมว่าน่าจะช้ากว่านี้สักหน่อย ถ้าได้ซัก 6-7 ชม. จะดีกว่า ก้นจะได้ติดเบาะบ้าง เพราะตลอดเส้นทางตัวผมแทบจะลอยอยู่ตลอดเวลา ดีที่มีเข็มขัดนิรภัยรัดไว้ จึงไม่กระเด้งออกนอกรถไป ก็เส้นทางสายนี้ ผมว่าน่าจะจำลองพื้นผิวดวงจันทร์มาแน่ๆ ถึงได้เป็นหลุมเป็นบ่อขนาดนี้ ก็ต้องยกความดีความชอบให้ระบบช่วงล่าง ไทเกอร์ เบอร์ลินอายส์ ของ โตโยตา ดี-โฟร์ดี คอมมอนเรล 3000 นี่ถ้าเป็นรถสมัยก่อนไส้ผมคงทะลักออกมาแล้ว
หลังจากผ่านการผจญภัยในดินแดนเขมรมาแล้ว ยังเหลือระยะทางอีก 300 กม. กว่าจะถึงกรุงเทพ ฯ ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่นานนัก
บรรยายภาพ
1. นักท่องเที่ยวบนพนมบาเค็ง
2. นครวัต ความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเขมร
3. มุมมองนี้จะเห็นนครวัตมีปราสาท 3 ยอด
4. ท่วงท่านางอัปสรถูกพัฒนาเป็นท่ารำในปัจจุบัน
5. กองทัพเสียมกุก ที่สันนิษฐานว่า เป็นบรรพบุรุษของไทย
6. ปราสาทบายน ส่วนหนึ่งของนครธม
7. พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่สมบูรณ์ที่สุด
8. ภาพแกะสลักลายนูน ที่แสดงถึงวิถีชีวิตชาวบ้าน
9. เส้นทางวิกฤตบนถนนมุ่งสู่ปอยเปต
10. ระหว่างทางจะเห็นรถติดหล่มอยู่จำนวนมาก
11. ตลอดเส้นทางจะเห็นเด็กออกมาขอสิ่งของ
เรื่องโดย : สาธิต ศิลารักษ์
ภาพโดย : สาธิต ศิลารักษ์ และโรงงานผู้ผลิต
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55899