รู้ไว้ใช่ว่า
ใครขับก็ไม่แปลก
เพื่อนร่วมทางของบรรดารถยนต์ทั้งหลายที่ยั้วเยี้ยมากมาย ทุกวันนี้มีมากกว่ารถยนต์ไปแล้วกระมังคือ
"รถจักรยานยนต์"
รถที่เกิดอุบัติเหตุมากกว่ารถอย่างอื่น ทำให้คนไปเกิดใหม่ทุกวันคือ "รถมอเตอร์ไซค์"
คดีความเกี่ยวกับรถในงวดนี้ เป็นเรื่องของเจ้าของรถบรรทุกที่ก่อเหตุแล้วลีลาลวดลายตอนเกิดเหตุใหม่ๆเจ้าของรถให้การกับตำรวจที่โรงพักว่า "นายสาก" เป็นคนขับ พอโดนฟ้องฝ่ายรถบรรทุกสู้คดีนำพยานหลักฐานมายันว่า "นายครก" เป็นคนขับต่างหาก จะให้ศาลยกฟ้อง ดูทีหรือว่าผลออกมาเป็นยังไง รถบรรทุกเด้งเชือกได้ไหม
เหตุเกิดตรงทางโค้งแห่งหนึ่ง รถบรรทุกขับอีท่าไหนไม่รู้กินทางรถตู้โดยสารที่แล่นสวนทางมาเมื่อหลบไม่พ้นรถบรรทุกจึงเฉี่ยวชนอย่างเบาะๆ ตรงกลางรถ ได้รับความเสียหายตามสมควรยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย
ศาลมีงานทำเพราะเกิดเหตุรถชนกันเมื่อไหร่ คนในบ้านเมืองเรามักหัวหมอไม่มีใครยอมรับผิดชอบรายนี้ก็เหมือนกัน เจ้าของรถตู้คือ "นายวิสกี" ซึ่งเป็นคนไทยเรานี่แหละ ต้องกัดฟันจ้างทนาย ยื่นฟ้อง"นายท่าน" เจ้าของรถบรรทุกเป็นจำเลย
ในคำฟ้องระบุว่าลูกจ้างของนายท่านคือ นายสาก ขับรถประมาทเฉี่ยวชนรถของนายวิสกี จนเสียหายบังคับให้จ่ายค่าซ่อมกับค่าขาดประโยชน์เอารถออกหากินไม่ได้ 15 วัน กับค่าเช่ารถที่นายสากต้องจ่ายให้แก่เจ้าของเพราะไปเช่าเขามา
นายท่านซึ่งเป็นชาวบ้านชาวช่องธรรมดา แต่พ่อแม่อยากให้คนเรียกว่า "ท่าน" เหมือนกับที่เขาเรียกเจ้านายใหญ่โตทั้งหลาย จึงตั้งชื่อประชดให้มันรู้แล้วรู้แรด สู้คดี ให้การปัดความรับผิด อ้างด้วยว่านายสากไม่ได้เป็นลูกจ้างของตน นายสากไม่ได้ขับรถบรรทุกของตน ฟ้องมาแบบนี้ต้องยกฟ้อง
ค่าเสียหายเรียกเยอะเกินเหตุ นายวิสกี ไม่ได้เป็นเจ้าของรถตู้ จึงฟ้องเรียกค่าซ่อมไม่ได้ ค่าเช่ารถก็เรียกร้อง
ไม่ได้เช่นกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าข้ออ้างของนายท่านเจ้าของรถบรรทุกฟังไม่ขึ้น ตัดสินให้นายวิสกี ชนะคดีบังคับให้นายท่านจ่ายค่าซ่อมรถ ค่าขาดประโยชน์ระหว่างที่รถจอดซ่อมเป็นรายวัน และค่าเช่ารถจากเจ้าของในระหว่างจอดซ่อม รวมแล้วเหยียบแสนบาท
จำเลยคือนายท่าน สู้ไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์ขึ้นไป แต่ไม่ได้ผล
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
เรื่องยาวถึงศาลฎีกา นายท่านมีช่องยื่นฎีกาจนได้ โต้มาทุกประเด็นดังที่สู้มาแต่ต้น
ศาลฎีกาต้องออกเหงื่อเล็กน้อย พิจารณาและพิพากษาออกมาดังนี้
ในแง่ที่ว่าใครเป็นคนขับรถบรรทุก ได้ความว่านายท่านเจ้าของรถบรรทุกให้การไว้ที่โรงพัก ระบุว่านายสากลูกจ้างที่ทำงานมานาน 1 ปีเศษ เป็นคนขับรถบรรทุกไปเฉี่ยวชนรถตู้ของนายวิสกี พอถึงชั้นศาล นายท่าน
ลวดลาย เอาคนของตนมาเบิกความโดยตัวเองไม่ยอมขึ้นศาล อ้างว่านายท่านเจ้าของรถบรรทุกโทรศัพท์มาบอกตั้งแต่วันแรกว่า คนขับรถบรรทุกคือนายครกต่างหาก เมื่อนายสากไม่ได้เป็นลูกจ้าง ไม่ได้ขับรถบรรทุกแต่นายวิสกี ฟ้องแบบนั้น ศาลต้องยกฟ้อง
ศาลฎีกาฟันธงว่า นายท่านยอมรับว่าเป็นเจ้าของรถบรรทุกที่ไปเฉี่ยวชนรถตู้ของนายวิสกี ไม่ปฏิเสธว่านายครกเป็นลูกจ้างของตน เมื่อฟังว่ารถบรรทุกเป็นฝ่ายผิด แม้คนขับจะชื่อสากชื่อครกหรือชื่ออะไรก็ตาม มีชื่อหรือไม่ก็ตาม นายท่านหนีไม่พ้นความรับผิด
ในแง่ที่ว่า รถตู้ไม่ได้เป็นของนายวิสกี ไปเช่าเขามาหากิน จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาแทงลงมาว่า ผู้เช่ารถต้องรับผิดชอบรักษารถให้เจ้าของ นายวิสกี จึงต้องซ่อมรถให้เขา และมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาค่าซ่อมจากนายท่านข้อนี้ก็เถียงไม่ขึ้น ตะแบงมาทำไม
ศาลฎีกายังชี้อีกว่า สำหรับค่าซ่อมค่าขาดประโยชน์ระหว่างจอดซ่อมนายท่านต้องจ่ายตามที่ศาลล่างตัดสินแต่ค่าเช่ารถในระหว่างที่จอดซ่อม ศาลฎีกาบอกว่าการเช่ารถเป็นเสมือนเงินลงทุนเพื่อหารายได้ นายวิสกีจึงเรียกร้องเอาค่าเช่ารถจากนายท่านไม่ได้
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้นายท่านเจ้าของรถบรรทุกจ่ายเฉพาะค่าซ่อมรถและค่าขาดประโยชน์ระหว่างที่รถของนายวิสกีจอดซ่อม แต่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่ารถแทนนายวิสกี
ที่ยกมาเพื่อให้รู้แง่มุมของการต่อสู้คดี โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าใครเป็นคนขับ ถ้าเจ้าของรถยอมรับว่าในวันเกิดเหตุลูกจ้างของตนเป็นคนขับ แม้จะชื่อเรียงเสียงไร นายจ้างก็ต้องรับผิด
สำหรับฝ่ายที่เสียหาย ถ้าในคำฟ้องระบุชื่อคนขับตามที่ได้ความจากเจ้าของรถฝ่ายผิด ภายหลังปรากฏว่าคนขับเป็นอีกคนหนึ่งหรือชื่ออย่างอื่น ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อฟ้องตามที่เจ้าของรถระบุไว้ แม้เจ้าของรถฝ่ายที่ผิดจะหัวหมอ
หรือเล่นลวดลาย มาอ้างภายหลังว่าคนขับเป็นคนอื่น ศาลก็ยังมัดคอไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด
แต่ในกรณีที่เราคิดจะฟ้องโชเฟอร์หรือคนขับให้รับผิดด้วย ต้องระวังหน่อย ต้องฟ้องให้ถูกตัวถูกชื่อ ถ้านายครกขับแล้วเราไปฟ้องนายสากให้รับผิด นายสากก็รอดตัว
อย่างว่า ถ้าฟ้องเจ้าของรถหรือบริษัทประกันให้รับผิด อยู่ในสภาพที่มีเงินจ่าย ก็ไม่จำเป็นต้องฟ้องโชเฟอร์หรือคนขับที่จนกรอบให้รุงรังเสียเวลาในการดำเนินคดี
นี่คือชั้นเชิงเรื่องโรงศาลที่นำเสนอแด่มิตรรักแฟนเพลง เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ นะครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2534
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55832