ซูซูกิ จิมนี ได้รับการทำไมเนอร์เชนจ์แล้ว ตรงตะแกรงหน้ามีการใช้แถบโลหะแนวนอน ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้วิศวกรค่าย ซูซูกิ ได้แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้โดยใช้คำว่า "ห้าวหาญ" แต่เราคิดว่า มันเป็นการแปลงโฉมสู่ใบหน้าที่ทำให้รู้สึกถึง "ความบึกบึนที่ได้รับการ ขัดเกลาจนตัวเนียน" จิมนี ที่แต่งหน้าทาปากใหม่เป็นรถที่มีความโดดเด่นแม้จะวิ่งอยู่ในเมืองก็ตาม จิมนี ได้รับการทำไมเนอร์เชนจ์ โดยมีการทำรูปแบบของตะแกรงหน้าใหม่ และจะเริ่มออกจำหน่ายในญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ช่วงต้นปีที่ผ่านมา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดในการทำไมเนอร์เชนจ์ ครั้งนี้ คือ ใบหน้าที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้จากการทำไมเนอร์เชนจ์ครั้งก่อนๆ เรื่อยมา ทำให้จิมนี มีใบหน้าเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย โดยตะแกรงหน้าในแบบที่ดูสมเป็นครอสส์คันทรี 4x4 ได้เปลี่ยนไปจนกลายเป็นแบบที่ดูไม่ขัดตาเวลาที่วิ่งในเมือง การปรับเปลี่ยนในจุดอื่นๆ ได้แก่ การขยายอินเตอร์คูเลอร์ ให้ใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนรูปทรงของอิน เทคมานิโฟลด์ ทำให้มีแรงบิดมากขึ้นในช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำ และให้ความรู้สึกในการเร่งความเร็วดีขึ้น การใช้ไฟสัญญาณเตือนภัยต่างๆ ทำให้รู้เห็นเหตุการณ์นอกรถดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนวัสดุหุ้มที่นั่งใหม่ให้ดูนิ่งขึ้น และเปลี่ยนแบบของกระจกมองข้างด้วย ยิ่งกว่านั้น ในรถรุ่นทอพ ที่ใช้รหัสรุ่น เอกซ์ซี ยังมีการติดตั้งกลไกในการพับเก็บกระจกมองข้างด้วยระบบไฟฟ้า และเครื่องทำความร้อนเพิ่มให้อีกทั้งยังเปลี่ยนไฟตัดหมอกเป็นแบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ และเปลี่ยนแบบของล้ออลูมิเนียมลายใหม่ด้วย จิมนี สิเอร์รา รุ่นใหม่ใช้ง่าย ขณะที่ จิมนี ขนาด 1,300 ซีซี กำลังมาแรงในต่างประเทศ ใน ญี่ปุ่น เองก็มีการทำ "จิมนี ไวด์" ขนาด 1,300 ซีซี ออกจำหน่ายใหม่ในชื่อของ "จิมนี สิเอร์รา (SIERRA)" รถรุ่นนี้เป็นการนำ จิมนี 1,300 ซีซี มาปรับใหม่พร้อมกับตั้งชื่อใหม่ แล้วนำออกจำหน่ายใน ญี่ปุ่น จิมนี ได้รับความนิยมมานานแม้ในต่างประเทศ ในฐานะของรถขนาดเล็กที่มีความสามารถรอบตัว และตัวเอกของรุ่น คือ จิมนี 1,300 ซีซี ที่ได้รับการขนานนามว่า "ซามูไร" หรือ "สิเอร์รา" นั่นเอง คราวนี้ ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก "จิมนี ไวด์" เป็น "จิมนี สิเอร์รา" และปรับปรุงบางส่วนเพื่อนำออกจำหน่ายใหม่ จุดที่มีการปรับปรุง ได้แก่ วัสดุหุ้มที่นั่งซึ่งมีการปรับคุณภาพและโทนสีให้ดูนิ่งขึ้น และกลไกที่ใช้เป็นแบบไฟสัญญาณเตือนภัย นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนรูปแบบของกระจกมองข้าง ตลอดจนติดตั้งกลไกในการพับเก็บกระจกมองข้างด้วยระบบไฟฟ้า และเครื่องทำความร้อนเพิ่มให้ ส่วนไฟตัดหมอกก็เปลี่ยนไปเป็นแบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ และสวิทช์ที่ปัดน้ำฝนด้านหลังก็เปลี่ยนไปเป็นแบบอเนกประสงค์ด้วย เครื่องยนต์วางเครื่องรหัส M13A ความจุ 1,300 ซีซี DOHC-VVT ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานที่สำคัญๆ ได้แก่ ถุงลมนิรภัยแบบเอสอาร์เอส ติดตั้งตรงที่นั่งคนขับและที่นั่งข้างคนขับ บอดีทีอีซีที ที่ช่วยซึมซับแรงกระแทก เครื่องปรับอากาศ พวงมาลัยเพาเวอร์ กระจกไฟฟ้ารอบคัน และเข็มขัดนิรภัยด้านหลังที่มีกลไกยึดที่นั่งสำหรับเด็กติดอยู่ด้วย เป็นต้น   รุ่นเอฟไอเอส ฟรีสไตล์ เวิร์ลด์คัพ ลิมิเทด เวอร์ชันพิเศษ ผลิตแค่หยิบมือ ! ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2545 ที่ผ่านมา มีการนำรถที่ผลิตในจำนวนจำกัด เพื่อเป็นที่ระลึกในการเปิดงาน "เอฟไอเอส ฟรีสไตล์ เวิร์ลด์คัพ" ออกจำหน่าย รถรุ่นนี้ มีการตกแต่งในส่วนต่างๆ เพื่อให้ดูสปอร์ทขึ้น เช่น แต่งกันชนหน้า แต่งส่วนล่างด้านข้างของตะแกรงหน้า และพ่นสีรูฟเรลให้เป็น สีเงิน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งที่เก็บยางอะไหล่ที่มีโลโกเอฟไอเอส (สหภาพสกีนานาชาติ) พิมพ์ให้ด้วย ส่วนภายในห้องโดยสารมีการใช้วัสดุหุ้มที่นั่งและแผงประตู ที่มีคุณสมบัติในการซับน้ำ และใช้หนังแท้หุ้มพวงมาลัยกับหัวเกียร์ ราคาที่กำหนดไว้ คือ 1,445,000 เยน (รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ) และ 1,543,000 เยน (รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ) ถ้าพ่นสีขาวมุก ราคาจะเพิ่มขึ้นอีก 20,000 เยน เอสกูโด และแกรนด์ เอสกูโด เพิ่มรุ่นพิเศษ "คันไซ" มีการกำหนดแบบของรถรุ่นพิเศษ ซึ่งปรับแต่งโดยนักออกแบบแฟชันชื่อดังของ ญี่ปุ่น ยามาโมโตะ คันไซ เข้าไปในสายของ เอสกูโด และแกรนด์ เอสกูโด ด้วย โดยใช้ชื่อรุ่นว่า "แกรนด์ เอสกูโด คันไซ และเอสกูโด 5 ประตู 2.0 คันไซ" นำออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2545 ที่ผ่านมา อุปกรณ์พิเศษต่างๆ ในรถดังกล่าว ได้แก่ วัสดุหุ้มเบาะและแผงประตูแบบพิเศษจากการออกแบบของ คันไซ พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ เครื่องทำความร้อนตรงที่นั่ง และที่เก็บยางอะไหล่ที่มีโลโก คันไซ เป็นต้น ราคาที่กำหนดไว้ คือ 1,445,000 เยน สำหรับ แกรนด์ เอสกูโด คันไซ และ 1,543,000 เยน สำหรับ เอสกูโด 5 ประตู 2.0 คันไซ โดยทั้งคู่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ และถ้าพ่นสีขาวมุก ราคาจะเพิ่มขึ้นอีก 20,000 เยนเช่นกัน