ใส่สีใส่สัน
เบื้องหลัง "นเรศวร"
ข้าพเจ้ายังไม่มีโอกาสเข้าวิกดูหนังยิ่งใหญ่เรื่อง "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ทั้ง 2 ภาค แต่ก็ติดตามผลงานการทำหนังไทยของ "ท่านมุ้ย" มาตลอด และได้ซื้อแผ่น วีซีดี เป็นเรื่องราวเบื้องหลังของการทำหนังเรื่องนี้มาชมที่บ้าน
ดูแล้วก็รู้สึกว่า การสร้างภาพยนตร์ไทยวันนี้กับเมื่ออดีตผิดกันลิบลับ โดยเฉพาะการสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ของ มจ. ชาตรีเฉลิม ยุคล น่าจะเป็นการสร้างภาพยนตร์ในระดับมาตรฐานโลก
เรียกว่าโลกแห่งภาพยนตร์ทำได้อย่างไร ภาพยนตร์ไทยก็พร้อมทำได้เช่นนั้น
เห็นรายละเอียดในการเตรียมงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็เชื่อได้ว่าเมื่อไรก็ตามที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ ข้าพเจ้าก็คงได้ความรู้สึกที่ตรงกันกับในตอนนี้ ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีอีกเรื่องหนึ่งคงไม่เป็นภาพยนตร์ไทยอีกเรื่องหนึ่งที่สำเร็จขึ้นมาได้เพราะเม็ดเงิน
การเตรียมงานสร้างภาพยนตร์เป็นรายละเอียดที่ต้องใช้ทั้งสมอง และเงินทุน และจากการประสานงานร่วมกันของทีมการสร้างภาพยนตร์ โดยเฉพาะการออกแบบงานสร้างและกำหนดสถานที่ถ่ายทำตลอดจนการสร้างฉากลงไปจนถึงเครื่องแต่งกายตามยุคสมัยของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบทภาพยนตร์
ในชีวิตเมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าเคยมีจินตนาการที่อยากเห็นการสร้างภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ชื่อ"สยาม เมืองใต้ดิน" โดยเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องขบวนการเสรีไทย เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา
เรื่องราวทั้งหมดคงจะเริ่มจากกองเรือรบญี่ปุ่น แล่นตัดทะเลมาขึ้นบกที่ชายฝั่งของประเทศไทยหลายจุดพร้อมกันในวันที่ 8 ธันวาคมปี 2484 และมีการสู้รบระหว่างทหารญี่ปุ่นกับทหารไทยและชาวบ้านที่เป็นคนไทยในทุกๆ จุด จนกระทั่งได้รับคำสั่งจากรัฐบาลไทยให้ยุติการต่อต้านการรุกรานแผ่นดินนั่นคือ ที่มาของขบวนการเสรีไทยทั้งสายอังกฤษ และสายสหรัฐอเมริกา เสรีไทยได้รับการฝึกภาคสนามที่เมืองแคนดี ในประเทศอินเดีย และเมื่อสำเร็จการฝึกแล้วก็ขึ้นเครื่องมาโดดร่มลงที่เมืองไทยเพื่อทำงานใต้ดิน ตลอดเวลาของการทำสงคราม
เรื่องราวจะสัมพันธ์กันระหว่างนายทหารญี่ปุ่นกับเสรีไทย ความสัมพันธ์อันเป็นบรรทัดฐานเบื้องต้นของความเป็นมนุษย์ สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการเน้นให้เห็น ก็คือ ความสามัคคีคนในชาติ และความโหดเหี้ยมของสงคราม จากแรงลูกระเบิดที่หล่นจากท้องฟ้าลงสู่กรุงเทพ "สยาม เมืองใต้ดิน" คงต้องจ้างดาราแสดงนำระหว่างชาติหลายเชื้อชาติ ทั้ง อเมริกัน ญี่ปุ่น จีน อินเดียและไทย อันจะเป็นจุดขายได้เป็นอย่างดีในตลาดสากล
จินตนาการของข้าพเจ้าในฉากจบ เป็นฉากการคว้านท้องของนายทหารญี่ปุ่น หลังจากได้ฟังพระราชดำรัสยอมแพ้ของสมเด็จพระจักรพรรดิ การคว้านท้องของเขาสร้างเลือดสีแดงลงบนผ้าผืนสีขาวกลายเป็นธงญี่ปุ่น และฉากนี้น่าจะเป็นห้องบัญชาการชั่วคราวของนายทหารญี่ปุ่นในกระทรวงกลาโหมของเรา
ข้าพเจ้ามีความคิดในตอนนั้น อยากเช่าที่นา ชานเมืองกรุงเทพ ฯ เป็นที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเพื่อสร้างเมืองกรุงเทพ ฯ ย้อนยุค เสมือนหนึ่ง "เมืองจำลอง" จำเป็นต้องมี ศาลาเฉลิมกรุง ต้องมีขบวนรถราง ต้องมีลานพระรูป และต้องมีฉากน้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายนปี 2485 ซึ่งท่วมหนักจนถึงวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม สามารถจัดการแข่งขันเรือแข่งได้ที่ลานพระราชวังดุสิต
ด้านหน้าของที่ดินโครงการนี้ ซึ่งคงต้องกินระยะทางเป็นกิโล ข้าพเจ้าก็จะขึ้นโพสเตอร์ภาพต่างๆของ "สยาม เมืองใต้ดิน" เป็นโพสเตอร์ขนาดยักษ์ ติดถาวรยาวไปทั้งถนน หลังการถ่ายทำแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี หรือแม้ระหว่างการถ่ายทำก็อาจมีวันท่องเที่ยวเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าไปเที่ยวซื้อของที่ระลึกได้ทั้งวัน ทำนอง โรงถ่ายยูนิเวอร์แซล ตามเมืองสำคัญของโลก
ข้าพเจ้าเกิดความคิดเรื่องนี้จากอิทธิพลของภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ THE LONGEST DAY ของทเวนทีธ์ เซนจูรี ฟอกซ์ ในปี 1962 และเรื่อง TORA ! TORA ! TORA ! อันเป็นงานกำกับการแสดงของ ริชาร์ด ไฟลเชอร์ ในปี 1970 จากการร่วมสร้างระหว่าง ญี่ปุ่น กับ อเมริกัน ใช้ดารานักแสดงเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับ "วันเผด็จศึก" (THE LONGEST DAY) เนื้อหาคลาสสิคทำนองเดียวกับ "โตรา โตรา โตรา" โดย "สยาม เมืองใต้ดิน" (SIAM, THE UNDERGROUND CITY) จะรวบรวมดาราสำคัญทั้งฮอลลีวูดของสหรัฐ ฯ ทั้งบอลลีวูดในเมืองมุมไบของอินเดีย หรือของญี่ปุ่น และของประเทศจีน ฮ่องกง ใต้หวัน รวมกับดารานักแสดงฝ่ายไทย
เรื่องราวของการยกพลขึ้นบกในวันที่ 6 มิถุนายนปี 2488 เพียงวันเดียว พวกเขายังสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ยาว 3 ชั่วโมงเศษ เช่นเดียวกับ "โตรา โตรา โตรา" ก็เป็นเหตุการณ์ถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์เพียงวันเดียว แต่เรื่องราวขบวนการเสรีไทยนั้นย่อมมากมายรายละเอียด เนื้อหาบ่งบอกถึงความรักชาติ รักผืนแผ่นดินไทย ความสามัคคี และความเป็นมนุษย์
ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าเรื่องนี้นานพอสมควร แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากขาดการสัมภาษณ์ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังบางคนพูดถึงประสบการณ์ของชีวิตในวันนั้นเท่านั้น
ข้าพเจ้าจึงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ชม "เบื้องหลังตำนาน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" และรู้สึกระลึกถึงจินตนาการที่ข้าพเจ้าวาดไว้อย่างสวยงามเมื่อ 40 ปีที่แล้ว...!
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55315